[ใหม่] เครื่องราง ของขลัง

669 สัปดาห์ ที่แล้ว - สกลนคร - คนดู 1,723

2,500 ฿

  • เครื่องราง ของขลัง  รูปที่ 1
  • เครื่องราง ของขลัง  รูปที่ 3
  • เครื่องราง ของขลัง  รูปที่ 4
  • เครื่องราง ของขลัง  รูปที่ 5
  • เครื่องราง ของขลัง  รูปที่ 6
  • เครื่องราง ของขลัง  รูปที่ 7
รายละเอียด

    

   ตระกุดพระเจ้า  ๕ พระองค์ หรือตระกุด ๕  เสือ ให้เช่าราคา  ๒,๕๐๐ บาท

   ผ้ายันต์ทิพยวิมานมหาปราสาท (ยันนั่งเมือง) รุ่น๒  ให้เช่าราคา  ๕๐๐  บาท

    ผ้ายันทิพยวิมานมหาปราสาท(ยันนั่งเมือง)รุ่น ๓   ให้เช่าราคา  ๓๐๐บาท

สีผึ้น้ำมันพรายนางพญามหาเสน่ห์  ให้เช่าราคา   ๑๕๐๐บาท 

 

 

dada201128@hotmail.com       แจ้งชื่อเรื่องให้ชัดเจน

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

 

กำเนิดความเป็นมา  เครื่องรางของขลัง

        หากจะพูดถึงเรื่องเครื่องรางของขลัง เป็นเรื่องที่ลึกลับและกว้างขวาง  ซึ่งในตำราพิชัยสงคราม กล่าวว่าเครื่องรางของขลังที่นักรบสมัยโบราณจะมีติดตัวเป็นมงคล ซื่งมีด้วยกันหลายชนิดและมีความเชื่อต่อเครื่องรางของขลังนั้นๆและพระคณาจารย์เหล่านั้นอย่างมั่นคงจะเห็นได้จากการสืบทอดสรรพตำรา ตกทอดกันมาเนิ่นนานทีเดียวซึ่งแบ่งออกไปตามประเภทย่อๆดังนี้

        1. ความเป็นมาจากตามธรรมชาติ ได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่มีการสรรค์สร้าง ซึ่งถือว่ามีดีในตัวและมีเทวดารักษา สิ่งนั้น ได้แก่ เหล็กไหลคดต่างๆ เขากวางคุด เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือ กลวง เถาวัลย์ ฯลฯ
        2. ส่วนของดีที่สร้างขึ้นมานั้น ได้แก่ สิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น แร่ธาตุต่างๆ ที่หล่อหลอมตามสูตร การเล่นแร่แปรธาตุ อันได้แก่ เมฆสิทธิ์ เมฆพัดเหล็กละลายตัว สัมฤทธิ์ นวโลหะ สัตตะโลหะ ปัญจโลหะ เป็นต้น ทั้งนี้คลุมไปถึงเครื่องรางลักษณะต่างๆ ที่ได้รับการสร้างขึ้นมาเพื่อคุ้นกันภัยอันตราย

การแบ่งตามการใช้ดังต่อไปนี้

        1. เครื่องคาด อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้คาดศีรษะ คาดเอว คาดแขน ฯลฯ
        2. เครื่องสวม อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้สวมคอ สวมศีรษะ สวมแขน สวมนิ้ว ฯลฯ
        3. เครื่องฝัง อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้ฝังลงไปในเนื้อหนังของคน เช่น เข็มทอง ตะกรุดทอง ตะกรุดสาลิกา (ใส่ลูกตา)และการฝังเหล็กไหล หรือ ฝังโลหะมงคล ต่างๆลงไปในเนื้อจะรวมอยู่ในพวกนี้ทั้งสิ้น
        4. เครื่องอม อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้อมในปาก อาทิเช่น ลูกอม ตะกรุดลูกอม (สำหรับในข้อนี้ไม่รวมถึง การอมเครื่องราง ชนิด ต่างๆที่มีขนาดเล็กไว้ในปากเพราะไม่เข้าชุด) 

การแบ่งตามวัสดุดังนี้

        1. โลหะ
        2. ผง
        3. ดิน
        4. วัสดุอย่างอื่น อาทิ กระดาษสา ชันโรง ดินขุยปู
        5. เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ งาสัตว์ เล็บสัตว์ หนังสัตว์
        6. ผมผีพรายผ้าตราสัง ผ้าห่อศพ ผ้าผูกคอตาย
        7. ผ้าทอทั่วๆไป

การแบ่งตามรูปแบบลักษณะดังนี้

        1. ผู้ชาย อันได้แก่ รักยม กุมารทอง ฤาษี พ่อเฒ่า ชูชกหุ่นพยนต์ พระสีสแลงแงง และสิ่งที่เป็นรูปของเพศชายต่างๆ
        2. ผู้หญิงอันได้แก่ แม่นางกวัก แม่พระโพสพ แม่ศรีเรือน แม่ซื้อ แม่หม่อมกวัก เทพนางจันทร์พระแม่ธรณี  และสิ่งที่เป็นรูปของผู้หญิงต่างๆ
        3. สัตว์ ในที่นี้หมายถึง พระโพธิสัตว์ อาทิ เสือ ช้าง วัว เต่า จระเข้ งู ดังนี้เป็นต้น

การแบ่งตามระดับชั้น ดังนี้

        1. เครื่องรางชั้นสูงอันได้แก่เครื่องรางที่ใช้บนส่วนสูงของร่างกาย ซึ่งนับตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบั้นเอว สำเร็จด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
        2. เครื่องรางชั้นต่ำอันได้แก่เครื่องรางที่เป็นของต่ำ อาทิ ปลัดขิก อีเป๋อ  (แม่เป๋อ) ไอ้งั่ง  (พ่องั่ง)ไม่ได้สำเร็จด้วยของสูง
        3. เครื่องรางที่ใช้แขวนอันได้แก่ ธงรูปนก รูปตั๊กแตน รูปปลา หรือ กระบอกใส่ยันต์และอื่นๆ

        เมื่อได้แบ่งแยกกันออกไป เป็นหมวดหมู่ย่อยๆ ออกไปให้เห็นกันง่ายๆแล้วทีนี้ก็จะจะมาพูดถึงว่าเขาสร้างเครื่องรางกันทำไมเรื่องนี้อธิบายได้พอสังเขปก็แล้วกันเรื่องก็มีอยู่ว่าเดิมทีนั้นโลกไม่มีศาสนาบังเกิดขึ้นมนุษย์ก็รู้จักกับปรากฏการณ์ของธรรมชาติเท่านั้นอาทิเช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และ ดาวตก  หรือแม้กระทั่ง ไฟ ดังนั้น เมื่อเห็น พระอาทิตย์ มีแสงสว่างก็เคารพแล้วเขียนภาพดวงอาทิตย์ไว้ในผนังถ้ำ เพื่อให้เกิด ความอบอุ่นใจในตอนกลางคืนเมื่อเขียนใส่ผนังถ้ำแล้วก็มาสลักลงบนหิน เพื่อติดตัวไปมาได้ ก็กลายเป็น เครื่องรางไปโดยบังเอิญ และเมื่อรู้จักไฟก็คิดว่าไฟเป็นเทพเจ้า ก็บูชาไฟ ทำรูปดวงไฟแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสิ่งประหลาด อาทิ นกที่มีรูปร่างประหลาด เป็นต้นต่อมาก็สร้างรูปเคารพของเทพต่างๆ และค่อยๆ เปลี่ยนรูปมาเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากประเทศ อียิปต์ กรีก โรมัน เพราะเป็นประเทศที่มี เครื่องราง มากมายดังนั้นเมื่อก่อนพุทธกาลราว 2,000 ปีเศษ ศาสนาพราหมณ์ถือเอาพระผู้เป็นเจ้าเป็นสรณะก็บังเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้านั้นก็คือ พระศิวะพระนารายณ์ พระพรหม และ เมื่อต้องการความสำเร็จผลใน สิ่งใด ก็มีการสวด อ้อนวอนอันเชิญ ขออำนาจของ เทพเจ้าทั้งสามให้มาบันดาลผลสำเร็จที่ต้องการนั้นๆ

         การกระทำดังกล่าวนี้จำต้อง มีที่หมายทางใจ เพื่อความสำรวมฉะนั้นภาพจำหลักของ เทพเจ้าทั้ง 3 ก็มีขึ้น จะเห็นได้จากรูปหะริหะระ ( HariHara ) แห่งประสาทอันเดต (Prasat Andet) ที่พิพิธภัณฑ์ เมืองพนมเปญ อันเป็นภาพจำหลักของพระนารายณ์ ใน ศาสนาพราหมณ์ กับ เทวรูปมหาพรหม แห่งพิพิธภัณฑ์กีเมต์ที่ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นด้วยความมุ่งหมายเอาเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจในศาสนาพราหมณ์ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ในประเทศอินเดีย  กาลต่อมาพระพุทธศาสนาก็บังเกิดขึ้นในโลก โดยพระบรมศาสดา (เจ้าชายสิทธัตถะ) เป็นผู้ทรงค้นพบอมตะธรรมวิเศษอันมีผู้เลื่อมใส่สักการะแล้วยึดเป็นสรณะ ดังนั้น พระพุทธองค์ ทรงมีพระสาวกตามเสด็จ ประพฤติปฏิบัติมากมาย  จนเป็นพระอสีติมหาสาวกขึ้น ซึ่งท่านมหาสาวกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ทรงไว้ ความเป็นเอตทัลคะ ในด้านต่างๆกัน มี พระสารีบุตรทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางปัญญา ส่วน พระโมคคัลลานะทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางอิทธิฤทธิ์ในพระพุทธศาสนานั้น ผู้ที่สำเร็จญาณสมาบัติได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ย่อมแสดงอิทธิฤทธิ์ ได้หลายอย่าง เป็นอเนกประการ อิทธิฤทธิ์ เหล่านี้ เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์เป็นการกระทำที่สามัญชนไม่สามารถจะกระทำได้ดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมากมาย และพระคณาจารย์เจ้า  ผู้สำเร็จญาณสมาบัติ ท่านย่อมทรงไว้ซึ่งฤทธิ์

         

กำเนิดความเป็นมา  เครื่องรางของขลัง

        หากจะพูดถึงเรื่องเครื่องรางของขลัง เป็นเรื่องที่ลึกลับและกว้างขวาง  ซึ่งในตำราพิชัยสงคราม กล่าวว่าเครื่องรางของขลังที่นักรบสมัยโบราณจะมีติดตัวเป็นมงคล ซื่งมีด้วยกันหลายชนิดและมีความเชื่อต่อเครื่องรางของขลังนั้นๆและพระคณาจารย์เหล่านั้นอย่างมั่นคงจะเห็นได้จากการสืบทอดสรรพตำรา ตกทอดกันมาเนิ่นนานทีเดียวซึ่งแบ่งออกไปตามประเภทย่อๆดังนี้

        1. ความเป็นมาจากตามธรรมชาติ ได้แก่ สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่มีการสรรค์สร้าง ซึ่งถือว่ามีดีในตัวและมีเทวดารักษา สิ่งนั้น ได้แก่ เหล็กไหลคดต่างๆ เขากวางคุด เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือ กลวง เถาวัลย์ ฯลฯ
        2. ส่วนของดีที่สร้างขึ้นมานั้น ได้แก่ สิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น แร่ธาตุต่างๆ ที่หล่อหลอมตามสูตร การเล่นแร่แปรธาตุ อันได้แก่ เมฆสิทธิ์ เมฆพัดเหล็กละลายตัว สัมฤทธิ์ นวโลหะ สัตตะโลหะ ปัญจโลหะ เป็นต้น ทั้งนี้คลุมไปถึงเครื่องรางลักษณะต่างๆ ที่ได้รับการสร้างขึ้นมาเพื่อคุ้นกันภัยอันตราย

การแบ่งตามการใช้ดังต่อไปนี้

        1. เครื่องคาด อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้คาดศีรษะ คาดเอว คาดแขน ฯลฯ
        2. เครื่องสวม อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้สวมคอ สวมศีรษะ สวมแขน สวมนิ้ว ฯลฯ
        3. เครื่องฝัง อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้ฝังลงไปในเนื้อหนังของคน เช่น เข็มทอง ตะกรุดทอง ตะกรุดสาลิกา (ใส่ลูกตา)และการฝังเหล็กไหล หรือ ฝังโลหะมงคล ต่างๆลงไปในเนื้อจะรวมอยู่ในพวกนี้ทั้งสิ้น
        4. เครื่องอม อันได้แก่เครื่องรางที่ใช้อมในปาก อาทิเช่น ลูกอม ตะกรุดลูกอม (สำหรับในข้อนี้ไม่รวมถึง การอมเครื่องราง ชนิด ต่างๆที่มีขนาดเล็กไว้ในปากเพราะไม่เข้าชุด) 

การแบ่งตามวัสดุดังนี้

        1. โลหะ
        2. ผง
        3. ดิน
        4. วัสดุอย่างอื่น อาทิ กระดาษสา ชันโรง ดินขุยปู
        5. เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ งาสัตว์ เล็บสัตว์ หนังสัตว์
        6. ผมผีพรายผ้าตราสัง ผ้าห่อศพ ผ้าผูกคอตาย
        7. ผ้าทอทั่วๆไป

การแบ่งตามรูปแบบลักษณะดังนี้

        1. ผู้ชาย อันได้แก่ รักยม กุมารทอง ฤาษี พ่อเฒ่า ชูชกหุ่นพยนต์ พระสีสแลงแงง และสิ่งที่เป็นรูปของเพศชายต่างๆ
        2. ผู้หญิงอันได้แก่ แม่นางกวัก แม่พระโพสพ แม่ศรีเรือน แม่ซื้อ แม่หม่อมกวัก เทพนางจันทร์พระแม่ธรณี  และสิ่งที่เป็นรูปของผู้หญิงต่างๆ
        3. สัตว์ ในที่นี้หมายถึง พระโพธิสัตว์ อาทิ เสือ ช้าง วัว เต่า จระเข้ งู ดังนี้เป็นต้น

การแบ่งตามระดับชั้น ดังนี้

        1. เครื่องรางชั้นสูงอันได้แก่เครื่องรางที่ใช้บนส่วนสูงของร่างกาย ซึ่งนับตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงบั้นเอว สำเร็จด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
        2. เครื่องรางชั้นต่ำอันได้แก่เครื่องรางที่เป็นของต่ำ อาทิ ปลัดขิก อีเป๋อ  (แม่เป๋อ) ไอ้งั่ง  (พ่องั่ง)ไม่ได้สำเร็จด้วยของสูง
        3. เครื่องรางที่ใช้แขวนอันได้แก่ ธงรูปนก รูปตั๊กแตน รูปปลา หรือ กระบอกใส่ยันต์และอื่นๆ

        เมื่อได้แบ่งแยกกันออกไป เป็นหมวดหมู่ย่อยๆ ออกไปให้เห็นกันง่ายๆแล้วทีนี้ก็จะจะมาพูดถึงว่าเขาสร้างเครื่องรางกันทำไมเรื่องนี้อธิบายได้พอสังเขปก็แล้วกันเรื่องก็มีอยู่ว่าเดิมทีนั้นโลกไม่มีศาสนาบังเกิดขึ้นมนุษย์ก็รู้จักกับปรากฏการณ์ของธรรมชาติเท่านั้นอาทิเช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า และ ดาวตก  หรือแม้กระทั่ง ไฟ ดังนั้น เมื่อเห็น พระอาทิตย์ มีแสงสว่างก็เคารพแล้วเขียนภาพดวงอาทิตย์ไว้ในผนังถ้ำ เพื่อให้เกิด ความอบอุ่นใจในตอนกลางคืนเมื่อเขียนใส่ผนังถ้ำแล้วก็มาสลักลงบนหิน เพื่อติดตัวไปมาได้ ก็กลายเป็น เครื่องรางไปโดยบังเอิญ และเมื่อรู้จักไฟก็คิดว่าไฟเป็นเทพเจ้า ก็บูชาไฟ ทำรูปดวงไฟแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสิ่งประหลาด อาทิ นกที่มีรูปร่างประหลาด เป็นต้นต่อมาก็สร้างรูปเคารพของเทพต่างๆ และค่อยๆ เปลี่ยนรูปมาเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากประเทศ อียิปต์ กรีก โรมัน เพราะเป็นประเทศที่มี เครื่องราง มากมายดังนั้นเมื่อก่อนพุทธกาลราว 2,000 ปีเศษ ศาสนาพราหมณ์ถือเอาพระผู้เป็นเจ้าเป็นสรณะก็บังเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้านั้นก็คือ พระศิวะพระนารายณ์ พระพรหม และ เมื่อต้องการความสำเร็จผลใน สิ่งใด ก็มีการสวด อ้อนวอนอันเชิญ ขออำนาจของ เทพเจ้าทั้งสามให้มาบันดาลผลสำเร็จที่ต้องการนั้นๆ

         การกระทำดังกล่าวนี้จำต้อง มีที่หมายทางใจ เพื่อความสำรวมฉะนั้นภาพจำหลักของ เทพเจ้าทั้ง 3 ก็มีขึ้น จะเห็นได้จากรูปหะริหะระ ( HariHara ) แห่งประสาทอันเดต (Prasat Andet) ที่พิพิธภัณฑ์ เมืองพนมเปญ อันเป็นภาพจำหลักของพระนารายณ์ ใน ศาสนาพราหมณ์ กับ เทวรูปมหาพรหม แห่งพิพิธภัณฑ์กีเมต์ที่ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นประติมากรรมที่สร้างขึ้นด้วยความมุ่งหมายเอาเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจในศาสนาพราหมณ์ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ในประเทศอินเดีย  กาลต่อมาพระพุทธศาสนาก็บังเกิดขึ้นในโลก โดยพระบรมศาสดา (เจ้าชายสิทธัตถะ) เป็นผู้ทรงค้นพบอมตะธรรมวิเศษอันมีผู้เลื่อมใส่สักการะแล้วยึดเป็นสรณะ ดังนั้น พระพุทธองค์ ทรงมีพระสาวกตามเสด็จ ประพฤติปฏิบัติมากมาย  จนเป็นพระอสีติมหาสาวกขึ้น ซึ่งท่านมหาสาวกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ทรงไว้ ความเป็นเอตทัลคะ ในด้านต่างๆกัน มี พระสารีบุตรทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางปัญญา ส่วน พระโมคคัลลานะทรงความเป็นยอดเยี่ยมทางอิทธิฤทธิ์ในพระพุทธศาสนานั้น ผู้ที่สำเร็จญาณสมาบัติได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ย่อมแสดงอิทธิฤทธิ์ ได้หลายอย่าง เป็นอเนกประการ อิทธิฤทธิ์ เหล่านี้ เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์เป็นการกระทำที่สามัญชนไม่สามารถจะกระทำได้ดังมีหลักฐานปรากฏอ