[ใหม่] เหรียญครบรอบ 77 ปี หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก ปี 2518

454 สัปดาห์ ที่แล้ว - กรุงเทพมหานคร - คนดู 892

2,000 ฿

  • เหรียญครบรอบ 77 ปี  หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก  ปี 2518 รูปที่ 1
  • เหรียญครบรอบ 77 ปี  หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก  ปี 2518 รูปที่ 2
รายละเอียด

หลวงปู่ ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก  แห่ง วัดชัยมงคล (วังมุย) ต.ประตูป่า อ.เมือง จ.ลำพูน

 

เหรียญรุ่นนี้เดิมมาเป็นเนื้อทองแดงรมดำ ได้นำไปเคลือบชุบทองภายหลังเพื่อบูชาต่อพระอรหันต์เจ้าหลวงปู่ชุ่มและเสริมบุญบารมี เพิ่มความเข้มขลังแก่ผู้นำไปบูชา

 

 

อิทธิพุทธาคม
ของหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก
หลวงปู่ชุ่ม หรือ ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก เป็นพระผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ท่านปฏิบัติตามแนวทางกรรมฐาน 40 ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างอุกฤษฏ์ ชนิดยอมเอาชีวิตเข้าแลก จึงปรากฏว่าท่านเป็นที่เคารพบูชาของชาวล้านนา และบุคคลทั่วไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเมื่อ 30 ปีก่อน นามของท่านยิ่งขจรขจายฟุ้งไปอีก กับเรื่องราวที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ
หลวงปู่ชุ่มเป็นพระทีรอบรู้และเคร่งครัดในพระธรรมวินัย บำเพ็ญบารมี 10 ประการ อันประเสริฐตลอดชีวิตสมณเพศ และมีความวิริยะอุตสาหะปฏิบัติเพื่อมรรคผลสูงสุดในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ด้วยพลังแห่งฌานสมาบัติที่แก่กล้า และพลังแห่งเมตตาจิต รวมทั้งสรรพวิชาที่ท่านได้เพียรศึกษาและสั่งสมมาตามคติครูบาอาจารย์ ทำให้กิตติศัพท์ความเก่งกล้าทางด้านวิชาพุทธาคมของหลวงปู่ชุ่ม เป็นที่เชื่อมั่นในหมู่ประชาชนยิ่งนัก โดยเฉพาะด้านคงกระพัน มหาอุด แคล้วคลาด


หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร วัดป่าดอนมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ผู้เป็นสหธรรมมิกอาวุโสสูงกว่า เคยนิมนต์หลวงปู่ชุ่มไปเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่อง เพื่อหาทุนสร้างโรงเรียนและศาลาวัดป่าดอนมูล กล่าวว่า
หลวงปู่ชุ่มท่านเป็นพระภิกษุที่มีความชำนาญด้านการผูกอักขระเลขยันต์ต่างๆ รวมทั้งมีอำนาจฌาณสมบัติที่แกกล้าและขลังมาก
หลวงปู่ชุ่มได้รับนิมนต์ให้ไปเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกหลายงาน ครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง ได้แก่ พิธีพุทธาภิเษกอัฐิท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง จ.ลำพูน หลวงปู่ชุ่มเป็นองค์ประธานในพิธี มีพระอริยะเจ้าทั่วภาคเหนือเข้าร่วมในพิธีนี้ ซึ่งนับเป็นประวัติการณ์อันมิได้ปรากฏขึ้นโดยง่าย
ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาซึ่งเป็นพระอาจารย์ของครูบาเจ้าชุ่ม ท่านมรณภาพ ในปี พ.ศ.2481 วัดบ้านปางเก็บรักษาสังขารของท่านไว้ระยะหนึ่ง จากนั้นได้เคลื่อนย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่ วัดจามเทวี จ.ลำพูน อีก 8 ปีต่อมา คือ พ.ศ. 2489 จึงได้รับพระราชทานเพลิงศพ หลังจากงานพระราชทานเพลิงศพเสร็จสิ้น จึงได้มีพิธีพุทธาภิเษก และจัดแบ่งอัฐิของนักบุญแห่งล้านนาไปบรรจุไว้ที่ต่างๆ
แล้วในวันที่ 27 ตุลาคม ปี พ.ศ.2517 หลวงปู่ชุ่มยังได้ไปเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกเหรียญครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่งจัดสร้างขึ้นใหม่ ณ

วัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน อีกด้วย นับว่าหลวงปู่ชุ่มท่านได้แสดงมุทิตาจิต่อพระอาจารย์ของตนเป็นอย่างดียิ่ง


ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่ชุ่มยิ่งขจรไกล ความเลื่องลืเกี่ยวกับวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย บางครั้งเหล่าผู้มีจิตศรัทธาสร้างขึ้น และนำมาให้ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสก ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องทั้งประเภทเนื้อโลหะ และประเภทเนื้อผง เมื่อผู้เลื่อมใสศรัทธานำไปพกพาติดตัว เพื่อความเป็นสิริมลคลแก่ตนเองและครอบครัว ต่างประสบเหตุการณ์ มีอภินิหารต่างๆ นานา ทั้งด้านเมตตามหานิยม มหาอุด แคล้วคลาด คงกระพัน ส่งผลให้ชาวจังหวัดลำพูน และชาวจังหวัดใกล้เคียงในยุคนั้น ต่างแวะเวียนมากราบนมัสการท่าน เพื่อขอของดีกันไม่ขาดสาย ท่านจึงมักเมตตาทำวัตถุมงคลแต่ละชนิดให้แต่ละคนตามวาสนาที่แตกต่างกัน โดยที่หลวงปู่ชุ่มไม่เคยตั้งราคาวัตถุมงคลที่ท่านแจกเลย ทั้งนี้ผู้มีจิตศรัทธาจะทำบุญกับท่านตามกำลังทรัพย์ที่พึงมี ปัจจัยทั้งหลายที่มีผู้ทำบุญถวายแด่ท่าน ล้วนถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ และการศาสนาทั้งสิ้นวัตถุมงคลของท่านในยุคเริ่มแรกจะเป็น ผ้ายันต์ ตะกรุด ล็อกเกตรูปถ่ายของท่าน และพระผงที่จัดสร้างเพื่อนำไปบรรจุตามพระเจดีย์ต่างๆ ที่ท่านไปนั่งหนักเป็นประธานสร้าง หรือบูรณปฏิสังขรณ์ไว้นั่นเอง

เรื่องการเข้านิโรธสมาบัติ

หลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มท่านเป็นพระนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้มาจากครูบาอาจารย์ต่างๆ หลายองค์ และได้นำมาปฏิบัติตั้งแต่เมื่อเป็นสามเณร สมัยอยู่กับ ครูบาอินตา วัดเจดีย์ขาว

ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นผู้ที่วางขนบจารีตเกี่ยวกับการ “เข้านิโรธ” ไว้ ทำให้ครูบาอาจารย์และพระภิกษุทางภาคเหนือยึดถือปฏิบัติสืบๆ กันมา รวมถึงหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม ท่านมักหาวาระและโอกาสเข้านิโรธอยู่เนืองๆ เท่าที่ทราบกันเป็นวงกว้าง และมีหลักฐานบันทึกไว้ระบุว่า ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก เข้านิโรธสมาบัติมาแล้ว 8 ครั้งครั้งหลังสุด เข้าเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2518 และออกจากนิโรธสมาบัติในตอนย่ำรุ่ง วันที่ 21 มิถุนายน คือ 7 วันต่อมา

การเข้านิโรธสมาบัติของหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก ครั้งนี้ เป็นพิเศษยากยิ่งกว่าทุกครั้ง เพราะท่านเข้าด้วยอิริยาบถ 4 โดยทรงอารมณ์อยู่ในจตุตถฌานตลอดเวลา นับว่ากำลังจิตท่านแข็งแกร่ง มีบุญบารมีสูงยิ่ง และการเข้านิโรธสมาบัติในครั้งนี้นี่เอง ที่มีประชาชนทราบกันแพร่หลายมากที่สุด

มีครั้งหนึ่ง ท่านไปเข้าอยู่กรรมที่วัดน้ำบ่อหลวง พระที่เข้าไปอยู่กรรมในครั้งนั้นมี ครูบาอินทจักร์รักษา ครูบาชัยยะวงศา ครูบาขันแก้ว และอีกหลายรูป หลังจากออกกรรมแล้ว ได้มาเข้านิโรธองค์เดียว 7 วัน ที่วัดเก่า (วัดศรีสองเมือง) ก่อนที่จะเข้านิโรธ ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐาน บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ หลังจากนั้นได้คล้องบาตรไปรับน้ำ 3 แก้ว จากลุงอ้าย และได้ฉันน้ำในบาตรจนพอสมควร จึงได้เดินเข้าไปในกระท่อมที่ศรัทธาได้สร้างไว้ที่วัดเก่า ตลอด 7 วันนี้ จะไม่มีใครเข้าไปหา หรือรบกวนท่าน โดยจ่าสรสิทธิ์ ได้นำลูกน้องมาคุ้มครองดูแล จัดเวรยาม รักษาความสงบให้กับครูบาชุ่ม คนทั้งหมดจะอยู่ล้อมรอบบริเวณด้านนอกของเขตวัดทั้งหมด ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปใกล้กระท่อม ตั้งแต่วันที่ท่านเข้านิโรธ จนถึงวันที่ท่านออก ปรากฏว่าด้านนอกวัด มีชาวบ้านวังมุยและประชาชนจากที่อื่น พากันมานอนเฝ้าชมบารมีของท่านเป็นจำนวนมากมายทุกวัน ในวันหนึ่ง ระหว่างที่ท่านข้านิโรธอยู่นั้น มีลูกศิษย์และคนทั่วไปที่อยู่ด้านนอก มองเห็นหลวงปู่ลงมาจากกระท่อม มาเดินจงกรม ยืนภาวนา และเดินไปนั่งสมาธิที่ใต้ต้นโพธิ์ในวัดห่าง พอได้เวลาท่านจะเดินขึ้นไปนั่งหรือนอนสมาธิบนกระท่อมอีกครั้ง

ลักษณะเช่นนี้ ตรงกับคำพูดที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง เคยกล่าวกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า

“หลวงปู่ชุ่ม ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน เป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และเป็นพระน้อยองค์นักที่จะสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ทุกอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน”

ออกจากนิโรธสมาบัติครั้งสุดท้าย

วันที่หลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มออกจากนิโรธ ได้มีประชาชนทั่วไปทั้งใกล้และไกล ทราบข่าวแล้วพากันเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทั้งทหาร ตำรวจ และประชาชน ในครั้งนี้มีพระผู้ใหญ่เดินทางมาร่วมงานบุญหลายรูปด้วยกัน คือ

ครูบาพรหมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน

หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร วัดป่าดอนมูล อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่

ครูบาวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน

ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

ในวันที่ครูบาเจ้าชุ่มออกจากนิโรธนั้น ครูบาวงศ์ ได้นำคณะลูกศิษย์พร้อมชาวเขามาร่วมพิธี พร้อมกับนำเรือขนาดใหญ่มาถวายครูบาเจ้าชุ่ม โดยทำฐานเป็นล้อไม้รองรับเรือ แล้วเข็นมาจากวัดห้วยต้ม อ.ลี้ ใช้เวลาเดินทางบากบั่นมาราว 1 เดือน จึงเข็นเรือมาถึงที่วัดชัยมงคล (วังมุย) การถวายเรือนี้มีเหตุว่า วัดวังมุยนั้นอยู่ในที่ลุ่ม จึงเกิดน้ำท่วมทุกปี ท่วมครั้งหนึ่งกินเวลานานหลายวัน เคยท่วมอยู่นานที่สุดถึง 2 เดือน ระดับน้ำสูงเป็นเมตร พระเณรต้องลำบากอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ ครูบาวงศ์ และศรัทธาชาวเขา จึงได้นำเรือเดินทางรอนแรมมาถวาย

ตอนที่ครูบาเจ้าชุ่มออกนิโรธสมาบัติ ครูบาอาจารย์ท่านอื่น ได้ยืนคอยรับท่านอยู่แล้ว ต่างตรงเข้าประคองท่านขึ้นนั่งบนเสลี่ยง โดยมีบรรดาชาวบ้าน และชาวเขาพร้อมใจกันช่วยหามเสลี่ยง จากนั้น พระเถระทุกองค์เดินนำหน้าเสลี่ยง ตามมาด้วยศรัทธาชาวบ้าน แห่ครูบาเจ้าชุ่มมาจนถึงวัดใหม่ (วัดชัยมงคล-วังมุย) ระหว่างทาง ชาวบ้านและคนทั่วไปที่มาร่วมงาน ได้พร้อมใจกันทำบุญ โดยการโยนเงินขึ้นมาตรงบริเวณหน้าตักของครูบาเจ้าชุ่ม จนเงินที่หน้าตักของท่านได้ล้นตกลงมาตามทาง ในวันนั้น คณะศรัทธาทำบุญกับท่านนับได้ประมาณ 150,000 บาท เงินจำนวนนี้ ต่อมาครูบาชุ่มได้นำมาบูรณะทำนุบำรุงวัดชัยมงคล (วังมุย) และใช้ในการศาสนาทั้งสิ้น

พอขบวนแห่มาถึงวัดใหม่ หลวงปู่หลวงพ่อทุกท่านต่างได้ป้อนข้าวทิพย์ให้แด่ครูบาเจ้าชุ่มองค์ละคำ ตามด้วยผู้ถือศีล 8 (เทวบุตร) ได้ตักข้าวใส่บาตรท่าน จากนั้นเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ถือศีล 5 โดยลำดับ จากนั้น ทางวัดชัยมงคล (วังมุย) และชาวบ้านได้พร้อมใจกันจัดงานต่อ เพื่อฉลองศรัทธาของสาธุชนอีก 8 วัน

 

รายละเอียดการส่งสินค้า/ นัดรับสินค้า: จัดส่งทาง EMS หลังจากได้รับเงินโอน
วิธีการชำระเงิน: โอนเงินไปยังบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี วรรณชัย งามวงศ์วรรณ เลขที่บัญชี 081-2-68403-5