[ใหม่] Blackmores : Beta Carotene เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์

748 สัปดาห์ ที่แล้ว - กรุงเทพมหานคร - คนดู 445

440 ฿

  • Blackmores : Beta Carotene เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์ รูปที่ 1
  • Blackmores : Beta Carotene เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์ รูปที่ 3
  • Blackmores : Beta Carotene เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์ รูปที่ 4
รายละเอียด
Blackmores : Beta Carotene

เบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์

เพื่อการบำรุงสายตา ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ปกป้องผิวจากแสงแดด

เป็นที่ทราบกันดีว่า การรับประทานพืชผัก และผลไม้เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดี เพราะประกอบด้วยวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นนานาชนิด แต่ด้วยวิถีการดำรงชีวิตประจำวันทุกวันนี้ มักรับประทานอาหารจานด่วน อาหารกระป๋อง หรือบางคนไม่ชอบรับประทานผักและผลไม้ ให้มีโอกาสได้รับสารอาหารที่จำเป็นไม่ครบถ้วนและไม่เพียงพอ ซึ่งพืชผักและผลไม้ ประกอบด้วยสารอาหารสำคัญ คือ คาร์โรทีนอยด์

คาร์โรทีนอยด์ เป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่มีอยู่ในพืชผัก ผลไม้ ที่ทำให้มีสีแดง สีส้ม สีเขียว และสีเหลือง เช่น แครอท แคนตาลูป ผักโขม ฟักทอง สาหร่าย ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ที่ปัจจุบันพบว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆ สารกลุ่มคาร์โรทีนอยด์มีหลายชนิด เช่นอัลฟาคาร์โรทีน ลูทิอิน ซีแซนทิน แต่ที่รู้จัดกันดีและมีอยู่ในพืชผัก ผลไม้ส่วนใหญ่ คือ เบต้าคาร์โรทีน โดนคาร์โรทีนอยด์แต่ละชนิดจะทำงานสนับสนุนกันในการออกฤทธิ์เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆดังนั้นนอกจากเราจะต้องรับประทานผัก ผลไม้ในปรืมาณสูงแล้ว ยังต้องให้ได้หลากหลายชนิด เพื่อให้ได้คาร์โรทีนอยด์ครบอีกด้วย

 

หน้าที่สำคัญของเบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์

1.เปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ เมื่อร่างกายต้องการ (Pro vitamin A)

เบต้าคาร์โรทีน จัดว่าเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญโดยเฉพาะกรณีที่ร้างกายได้รับวิตามิน เอ เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญมากต่อตาของเราในการช่วยให้เรามองเห็นในที่มืด ช่วยบำรุงสายตาป้องกันโรคตาบอดกลางคืน ป้องกันการเกิดต้อกระจก พบว่าเบต้าคาร์โรทีนจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ ได้ดี เท่าที่ร่างกายต้องการ จึงช่วยการมองเห็นในที่มืด ลดความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก และชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา

2.ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)

อนุมูลอิสระเป็นสารที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา ทั้งจากปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ความเครียด ปฏิกิริยาต่างๆ หรืออาจถูกกระตุ้นให้เกิดมากขึ้นจากปัจจัยภายนอกร่างกาย เช่น แสงแดด มลภาวะ บุหรี่ พบว่า เบต้าคาร์โรทีน และคาร์โรทีนอยด์จะช่วยปกป้องเซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆของร่างกายจากอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุสำคัญนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรัง เช่น การแก่ก่อนวัย โรคมะเร็ง โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยพบว่าหากรับประทานร่วมกับวิตามิน อีและวิตามิน ซีจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการปกป้องเซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น

3.การปกป้องผิวพรรณจากการถูกทำลายด้วยรังสียูวีจากแสงแดด

เป็นที่ทราบกันดีว่า รังสียูวีจากแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดผิวอักเสบ ร้อนแดง ผิดไหม้แดด ผิวหยาบกร้าน หมองคล้ำ ไม่สดใส พบว่าการได้รับ เบต้าคาร์โรทีนต่อเนื่องจะช่วยปกป้องผิวพรรณที่อาจเกิดอันตรายจากแสงแดดดังกล่าวได้

 

ทำไมจึงต้องเสริมเบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์

เนื่องจากร่างกายเราไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหารหรือวิตามินเสริมเท่านั้น ในแต่ละวันเรามักได้รับเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเนื่องจากเบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์ที่ได้จากอาหาร มีการดูดซึมไม่แน่นอน หรือ กรณีที่ได้จากอาหารที่ไม่ผ่านการปรุง จะมีการดูดซึมได้ไม่เกิน 5% เนื่องจากจะมีการจับตัวกับสารโพลีแซคคาไรด์และโปรตีนในรูปสารประกอบเชิงซ้อน ประกอบกับบางคนไม่ชอบบริโภคผัก หรือผลไม้ ทำให้มีโอกาสขาดสารดังกล่าวมากขึ้น

ในปัจจุบัน มีการพัฒนาการสกัดจาสาหร่ายดีซาลีนาซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบคุณภาพสูงที่อุดมด้วยเบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์ผสมกัน ซึ่งช่วยการทำงานร่วมกันทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ใครบ้างที่ควรได้รับเบต้าคาร์โรทีนและคาร์โรทีนอยด์เพิ่มเติม

- ผู้ที่ไม่ได้รับประทานพืชผัก ผลไม้ เป็นประจำ

- ผู้ที่ต้องการบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน

- ผู้สูงอายุเพื่อเป็นการป้องกันโรคอันเนื่องจากความเสื่อมของอวัยวะ โดยเฉพาะดวงตา

- ผู้ที่ต้องการชะลอความเสื่อมของเซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ร่วมกับวิตามิน อีและวิตามิน ซี

- ผู้ที่ต้องการปกป้องผิวพรรณจากอันตรายจากแสงแดด

 

ขนาดรับประทานที่แนะนำ

รับประทาน วันละ 15-30 มิลลิกรัม หลังอาหาร