[มือสอง] พระสีวลี หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง ขนาดบูชา
544 สัปดาห์ ที่แล้ว
- นครปฐม - คนดู 773
รายละเอียด
..พระสีวลี หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง เนื้อโลหะ หล่อตันสูง 4.5 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 2 ขีด สร้าง ก่อน พ.ศ. 2500 ....
พระอรหันต์ผู้บันดาลลาภผลและความอุดมสมบูรณ์
"แม้เพียงเอ๋ยนามหรือสวดพระคาถารำลึกถึงพระสีวลี
ด้วยความเลื่อมใสลาภสการะก็จักไหลมาสู่บุคคล
ผู้นั้นราวกับสายน้ำความอุดมสมบูรณ์ทั้งปวงก็จะพลันบังเกิดขึ้น"
ตำนานความเป็นมา
พระบูชารูปพระสีวลีได้รับความนิยมสูงจากประชาชน โบราณจารย์และวัดต่าง ๆ มากมายในเมืองไทยจึงทำรูปเคารพพระสีวลีขึ้นมาสการะบูชา เน้นในทางลาภผลโดยตรง ซึ่งถือว่าดีทางโชคลาภอย่างมาก เพราะเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศด้วยลาภสักการะยิ่งกว่าภิกษุองค์ใดในสมัยพุทธกาล
พระสีวลีองค์ขนาดใหญ่มีการสร้างประดิษฐานไว้ตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่วนพระเครื่องพระบูชานั้นมีพระคณาจารย์สร้างออกมาไม่มากนัก เช่น หลวงพ่อแฉง วัดบางพัง หลวงปู่นาค วัดระฆัง หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นต้นพระสีวลี
ในอดีตชาติพระสีวลีท่านเคยถวายน้ำผึ้งแด่พระวิปัสลีพุทธเจ้า พระปทุมุตตระบรมศาสดา จึงทรงพยากรณ์ว่าความปรารถนาของท่านนี้จะสำเร็จในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไป ท่านจะบังเกิดในนาม สีวลี ได้บวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าโคตมะ ซึ่งสมภพในวงศ์ของพระโอกกากราช ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป
ในชาดิสุดท้ายท่านจึงเกิดเป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา พระสีวลีเป็นพระมหาเถระที่มีประวัติค่อนข้างแปลกไปกว่าพระมหาเถระองค์อื่น ๆ เพราะท่านต้องอยู่ในพระครรภ์มารดาถึง ๗ ปี ล่วงไปอีก ๗ เดือน กับอีก ๗ วัน ด้วยอำนาจบุรพกรรมตามส่งผล
เมื่อแรกกำเนิดอยู่ในครรภ์มารดาก็มีบุญอัศจรรย์ คือ สามารถนำลาภสการะมาให้แก่มารดาเป็นอันมาก โดยมีคนนำเอาเครื่องบรรณาการาการถึง ๕๐๐ อย่างมาถวายทุกเข้าเย็น จนเป็นที่เลื่องลือว่าตั้งแต่พะนางสุปปวาสาเทวีทรงพระครรภ์นี้ก็บังเกิดเป็นลาภมากมาย แสดงว่าผู้มาเกิดเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงส่ง เมื่อพระสีวลีทรงออกบวชในขณะทีโกนผมปอยแรกออกก็บรรลุโสดาบัน ขณะโกนผมปอยที่สองได้บรรลุสกิทาคามี ขณะโกนผมปอยที่สามได้บรรลุอนาคามี เมื่อโกนผมหมดศรีษะก็บรรลุอรหันต์ทันที
.ในสมัยหนึ่ง พระขทิรวนิยเรวตเถระ ซึ่งเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ได้หนีการแต่งงานที่บิดามารดาจัดการให้ มาขอบวชในสำนักพระภิกษุ ซึ่งมีภิกษุอยู่ประมาณ ๓๐ รูป เหล่าพระภิกษุสอบถามดู ทราบว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ที่ท่านได้เคยแจ้งไว้ก่อนว่าถ้าน้องชายมาขอบวชก็อนุญาตให้บวชได้ จึงได้ทำการบวชให้แล้วส่งข่าวมายังท่านพระสารีบุตร ครั้งนั้นเมื่อพระสารีบุตรทราบข่าวดังนั้น จึงกราบทูลพระศาสดาเพื่อขอไปเยี่ยม พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่าพระเรวตะเริ่มทำความเพียรเจริญวิปัสสนา จึงทรงห้ามพระสารีบุตรถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ เมื่อพระสารีบุตรทูลอ้อนวอนอีก ทรงทราบว่า พระเรวตะบรรลุพระอรหัตแล้วจึงทรงอนุญาตและตรัสว่าจะทรงไปด้วยพร้อมเหล่าพระสาวกอื่น ดังนั้นพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร ก็ได้เสด็จออกไปด้วยพระประสงค์ว่าจะไปเยี่ยมพระเรวตะ.ครั้นเดินทางมาถึง ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหนทาง ๒ แพร่ง
พระอานนเถระกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญตรงนี้มีหนทาง ๒แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหน พระเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสถามว่า "อานนท์หนทางไหน เป็นหนทางตรง "
.พระอานนท์กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญหนทางตรงมีระยะประมาณ ๓๐ โยชน์ แต่เป็นหนทางที่มีอมนุษย์ ส่วนหนทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐ โยชน์ เป็นหนทางสะดวกปลอดภัย มีภิกษาดีหาง่าย"
พระศาสดาตรัสว่า "อานนท์ สีวลีได้มาพร้อมกับพวกเรามิใช่หรือ"
...พระอานนท์กราบทูลว่า "ใช่ พระสีวลีมาแล้วพระเจ้าข้า "
...พระศาสดาตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นพระสงฆ์จงไปตามเส้นทางตรงนั้นแหละ เราจักได้ทดลองบุญของพระสีวลี"
พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จขึ้นสู่เส้นทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อจะทรงทดลองบุญของพระสีวลีเถระ จำเดิมแต่ที่ได้เสด็จไปตามหนทาง หมู่เทวดาได้เนรมิตพระนครในที่ทุกๆ โยชน์ ช่วยกันจัดแจงพระวิหารเพื่อเป็นที่ประทับและที่อยู่แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พวกเทวบุตร ได้ถือเอาข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้น ไปเที่ยวถามอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าสีวลีไปไหน ดังนี้แล้ว จึงไปหาพระเถระ พระเถระจึงให้นำเอาสักการะและสัมมมานะเหล่านั้นไปถวายพระศาสดา พระศาสดาพร้อมทั้งบริวารเสวยบุญของพระสีวลีเถระผู้เดียว ได้เสด็จไปตลอดทางกันดารประมาณ ๓๐ โยชน์
ฝ่ายพระเรวตเถระทราบการเสด็จมาของพระศาสดา จึงนิรมิต พระคันธกุฎีเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า นิรมิตเรือนยอด ๕๐๐ ที่จงกรม ๕๐๐ และที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ๕๐๐ พระศาสดาประทับอยู่ใน สำนักของเรวตะเถระนั้นสิ้นกาลประมาณเดือนหนึ่งแล แม้ประทับอยู่ ในที่นั้น ก็เสวยบุญของพระสีวลีเถระนั่นเอง แม้พระศาสดาทรงพาภิกษุสงฆ์ไป เสวยบุญของพระสีวลีเถระ ตลอดการประมาณเดือนหนึ่งนั่นแลอีก เสด็จเข้าไปสู่บุพพาราม
...ลำดับในกาลต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าแล้ว ทรงสถาปนาพระเถระนั้นไว้ในตำแหน่งอันเลิศว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีลาภ".
สำหรับการบูชาพระสีวลีมีดังนี้
ในการบูชาพระสีวลีนั้น ให้บูชาด้วยดอกบัว ๕หรือ ๙ดอก หรือใช้พวงมาลัยที่เป็น ...ดอกกมะลิ ดาวเรือง ใช้ธูปหอม เมื่อจะบูชาให้เอาพวงมาลัยถวายใส่พานถวายหน้ารูปเคารพแทนองค์พระสีวลี หรือ เอาดอกบัว ๕หรือ๙ดอกใส่แจกัน จะมีเทียนหรือไม่ก็ได้ จุดธูป สามดอก แล้วตั้ง นะโมสามจบ กล่าวคำบูชาพระสีวลีด้วยพระคาถานี้
ตั้งนะโมสามจบ
"สีวะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
อะหัง วันทามิ ตัง สะทาสีวะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห
ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
สีวะลี เถระคุณัง เอตัง โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เมฯ "
....เสร็จแล้วเอาธูปปักที่กระถาง กราบสามที
และสวดบทนี้เพื่อขอลาภจากองค์พระสีวลี
คำอธิฐานขอลาภจากพระสีวลี
(โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง)
....ตั้งนะโม ๓ จบ
สิวะ ลีมะหา เถรัง วันทามิหัง ( ๓ จบ )
มะหาสิวะลี เถโร มะหาลาโภ โหติ มะหาสิวะลี เถโร ลาภัง เม เท ถะ(๓จบ)
...เสร็จแล้วอธิษฐานขอเรื่องลาภ เลยโดยตรง ครับแล้วกราบสามที บทนี้เป็นบทหลวงปู่เกษม เขมโก ที่มอบให้หลวงปู่ขวัญ ปวโร ใช้บอกญาติโยมเป็นบทขอลาภพระสีวลีโบราณครับทางเว็บพุทธคุณ(buddhakun.com)จึงขอนำมาลงให้อ่านกัน
อนึ่ง มีเคล็ดว่า ในวันพฤหัสบดี หากสะดวก ควรถวาย น้ำผึ้ง พระสีวลีด้วยโดยจะใส่จอกเล็กถวายท่านในวันพฤหัสบดีหรือหากทุกวันได้ยิ่งดีครับ จะทำให้ท่าน บังเกิดโชคลาภ อย่างเห็นได้ชัด และเป็นเคล็ดเพื่อให้เงินทองไหลมาเทมาในเคหาสน์สถานบ้านเรือน และผู้บูชาด้วยน้ำผึ้งประจำวันพฤหัสบดี จะไม่ตกทุกข์ได้ยากเลยในชีวิต เพราะในอดีต พระสีวลีได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระพุทธเจ้ากัสสปะ ด้วยอานิสงส์นี้เองทำให้ท่านได้เป็นพระอรหันต์ที่เลิศในทางมีลาภมากครับ (ขอบคุณgoogel).......รับประกันแท้ตลอดชีพ......chathanumaan@yahoo.co.th....Fmi 085-378-3943...
พระอรหันต์ผู้บันดาลลาภผลและความอุดมสมบูรณ์
"แม้เพียงเอ๋ยนามหรือสวดพระคาถารำลึกถึงพระสีวลี
ด้วยความเลื่อมใสลาภสการะก็จักไหลมาสู่บุคคล
ผู้นั้นราวกับสายน้ำความอุดมสมบูรณ์ทั้งปวงก็จะพลันบังเกิดขึ้น"
ตำนานความเป็นมา
พระบูชารูปพระสีวลีได้รับความนิยมสูงจากประชาชน โบราณจารย์และวัดต่าง ๆ มากมายในเมืองไทยจึงทำรูปเคารพพระสีวลีขึ้นมาสการะบูชา เน้นในทางลาภผลโดยตรง ซึ่งถือว่าดีทางโชคลาภอย่างมาก เพราะเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศด้วยลาภสักการะยิ่งกว่าภิกษุองค์ใดในสมัยพุทธกาล
พระสีวลีองค์ขนาดใหญ่มีการสร้างประดิษฐานไว้ตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่วนพระเครื่องพระบูชานั้นมีพระคณาจารย์สร้างออกมาไม่มากนัก เช่น หลวงพ่อแฉง วัดบางพัง หลวงปู่นาค วัดระฆัง หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นต้นพระสีวลี
ในอดีตชาติพระสีวลีท่านเคยถวายน้ำผึ้งแด่พระวิปัสลีพุทธเจ้า พระปทุมุตตระบรมศาสดา จึงทรงพยากรณ์ว่าความปรารถนาของท่านนี้จะสำเร็จในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไป ท่านจะบังเกิดในนาม สีวลี ได้บวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าโคตมะ ซึ่งสมภพในวงศ์ของพระโอกกากราช ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป
ในชาดิสุดท้ายท่านจึงเกิดเป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา พระสีวลีเป็นพระมหาเถระที่มีประวัติค่อนข้างแปลกไปกว่าพระมหาเถระองค์อื่น ๆ เพราะท่านต้องอยู่ในพระครรภ์มารดาถึง ๗ ปี ล่วงไปอีก ๗ เดือน กับอีก ๗ วัน ด้วยอำนาจบุรพกรรมตามส่งผล
เมื่อแรกกำเนิดอยู่ในครรภ์มารดาก็มีบุญอัศจรรย์ คือ สามารถนำลาภสการะมาให้แก่มารดาเป็นอันมาก โดยมีคนนำเอาเครื่องบรรณาการาการถึง ๕๐๐ อย่างมาถวายทุกเข้าเย็น จนเป็นที่เลื่องลือว่าตั้งแต่พะนางสุปปวาสาเทวีทรงพระครรภ์นี้ก็บังเกิดเป็นลาภมากมาย แสดงว่าผู้มาเกิดเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงส่ง เมื่อพระสีวลีทรงออกบวชในขณะทีโกนผมปอยแรกออกก็บรรลุโสดาบัน ขณะโกนผมปอยที่สองได้บรรลุสกิทาคามี ขณะโกนผมปอยที่สามได้บรรลุอนาคามี เมื่อโกนผมหมดศรีษะก็บรรลุอรหันต์ทันที
.ในสมัยหนึ่ง พระขทิรวนิยเรวตเถระ ซึ่งเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ได้หนีการแต่งงานที่บิดามารดาจัดการให้ มาขอบวชในสำนักพระภิกษุ ซึ่งมีภิกษุอยู่ประมาณ ๓๐ รูป เหล่าพระภิกษุสอบถามดู ทราบว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตร ที่ท่านได้เคยแจ้งไว้ก่อนว่าถ้าน้องชายมาขอบวชก็อนุญาตให้บวชได้ จึงได้ทำการบวชให้แล้วส่งข่าวมายังท่านพระสารีบุตร ครั้งนั้นเมื่อพระสารีบุตรทราบข่าวดังนั้น จึงกราบทูลพระศาสดาเพื่อขอไปเยี่ยม พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่าพระเรวตะเริ่มทำความเพียรเจริญวิปัสสนา จึงทรงห้ามพระสารีบุตรถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ เมื่อพระสารีบุตรทูลอ้อนวอนอีก ทรงทราบว่า พระเรวตะบรรลุพระอรหัตแล้วจึงทรงอนุญาตและตรัสว่าจะทรงไปด้วยพร้อมเหล่าพระสาวกอื่น ดังนั้นพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร ก็ได้เสด็จออกไปด้วยพระประสงค์ว่าจะไปเยี่ยมพระเรวตะ.ครั้นเดินทางมาถึง ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหนทาง ๒ แพร่ง
พระอานนเถระกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญตรงนี้มีหนทาง ๒แพร่ง ภิกษุสงฆ์จะไปทางไหน พระเจ้าข้า"
พระศาสดาตรัสถามว่า "อานนท์หนทางไหน เป็นหนทางตรง "
.พระอานนท์กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญหนทางตรงมีระยะประมาณ ๓๐ โยชน์ แต่เป็นหนทางที่มีอมนุษย์ ส่วนหนทางอ้อมมีระยะทาง ๖๐ โยชน์ เป็นหนทางสะดวกปลอดภัย มีภิกษาดีหาง่าย"
พระศาสดาตรัสว่า "อานนท์ สีวลีได้มาพร้อมกับพวกเรามิใช่หรือ"
...พระอานนท์กราบทูลว่า "ใช่ พระสีวลีมาแล้วพระเจ้าข้า "
...พระศาสดาตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นพระสงฆ์จงไปตามเส้นทางตรงนั้นแหละ เราจักได้ทดลองบุญของพระสีวลี"
พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จขึ้นสู่เส้นทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อจะทรงทดลองบุญของพระสีวลีเถระ จำเดิมแต่ที่ได้เสด็จไปตามหนทาง หมู่เทวดาได้เนรมิตพระนครในที่ทุกๆ โยชน์ ช่วยกันจัดแจงพระวิหารเพื่อเป็นที่ประทับและที่อยู่แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พวกเทวบุตร ได้ถือเอาข้าวยาคูและของเคี้ยวเป็นต้น ไปเที่ยวถามอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าสีวลีไปไหน ดังนี้แล้ว จึงไปหาพระเถระ พระเถระจึงให้นำเอาสักการะและสัมมมานะเหล่านั้นไปถวายพระศาสดา พระศาสดาพร้อมทั้งบริวารเสวยบุญของพระสีวลีเถระผู้เดียว ได้เสด็จไปตลอดทางกันดารประมาณ ๓๐ โยชน์
ฝ่ายพระเรวตเถระทราบการเสด็จมาของพระศาสดา จึงนิรมิต พระคันธกุฎีเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า นิรมิตเรือนยอด ๕๐๐ ที่จงกรม ๕๐๐ และที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ๕๐๐ พระศาสดาประทับอยู่ใน สำนักของเรวตะเถระนั้นสิ้นกาลประมาณเดือนหนึ่งแล แม้ประทับอยู่ ในที่นั้น ก็เสวยบุญของพระสีวลีเถระนั่นเอง แม้พระศาสดาทรงพาภิกษุสงฆ์ไป เสวยบุญของพระสีวลีเถระ ตลอดการประมาณเดือนหนึ่งนั่นแลอีก เสด็จเข้าไปสู่บุพพาราม
...ลำดับในกาลต่อมา พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าแล้ว ทรงสถาปนาพระเถระนั้นไว้ในตำแหน่งอันเลิศว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้มีลาภ".
สำหรับการบูชาพระสีวลีมีดังนี้
ในการบูชาพระสีวลีนั้น ให้บูชาด้วยดอกบัว ๕หรือ ๙ดอก หรือใช้พวงมาลัยที่เป็น ...ดอกกมะลิ ดาวเรือง ใช้ธูปหอม เมื่อจะบูชาให้เอาพวงมาลัยถวายใส่พานถวายหน้ารูปเคารพแทนองค์พระสีวลี หรือ เอาดอกบัว ๕หรือ๙ดอกใส่แจกัน จะมีเทียนหรือไม่ก็ได้ จุดธูป สามดอก แล้วตั้ง นะโมสามจบ กล่าวคำบูชาพระสีวลีด้วยพระคาถานี้
ตั้งนะโมสามจบ
"สีวะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ
อะหัง วันทามิ ตัง สะทาสีวะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห
ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
สีวะลี เถระคุณัง เอตัง โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เมฯ "
....เสร็จแล้วเอาธูปปักที่กระถาง กราบสามที
และสวดบทนี้เพื่อขอลาภจากองค์พระสีวลี
คำอธิฐานขอลาภจากพระสีวลี
(โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง)
....ตั้งนะโม ๓ จบ
สิวะ ลีมะหา เถรัง วันทามิหัง ( ๓ จบ )
มะหาสิวะลี เถโร มะหาลาโภ โหติ มะหาสิวะลี เถโร ลาภัง เม เท ถะ(๓จบ)
...เสร็จแล้วอธิษฐานขอเรื่องลาภ เลยโดยตรง ครับแล้วกราบสามที บทนี้เป็นบทหลวงปู่เกษม เขมโก ที่มอบให้หลวงปู่ขวัญ ปวโร ใช้บอกญาติโยมเป็นบทขอลาภพระสีวลีโบราณครับทางเว็บพุทธคุณ(buddhakun.com)จึงขอนำมาลงให้อ่านกัน
อนึ่ง มีเคล็ดว่า ในวันพฤหัสบดี หากสะดวก ควรถวาย น้ำผึ้ง พระสีวลีด้วยโดยจะใส่จอกเล็กถวายท่านในวันพฤหัสบดีหรือหากทุกวันได้ยิ่งดีครับ จะทำให้ท่าน บังเกิดโชคลาภ อย่างเห็นได้ชัด และเป็นเคล็ดเพื่อให้เงินทองไหลมาเทมาในเคหาสน์สถานบ้านเรือน และผู้บูชาด้วยน้ำผึ้งประจำวันพฤหัสบดี จะไม่ตกทุกข์ได้ยากเลยในชีวิต เพราะในอดีต พระสีวลีได้ถวายน้ำผึ้งแก่พระพุทธเจ้ากัสสปะ ด้วยอานิสงส์นี้เองทำให้ท่านได้เป็นพระอรหันต์ที่เลิศในทางมีลาภมากครับ (ขอบคุณgoogel).......รับประกันแท้ตลอดชีพ......chathanumaan@yahoo.co.th....Fmi 085-378-3943...