[ใหม่] Blackmores : Fish oil 80's

750 สัปดาห์ ที่แล้ว - กรุงเทพมหานคร - คนดู 1,054

550 ฿

  • Blackmores : Fish oil 80's รูปที่ 1
  • Blackmores : Fish oil 80's รูปที่ 3
  • Blackmores : Fish oil 80's รูปที่ 4
รายละเอียด

Blackmores : Fish oil 80's

น้ำมันปลา แหล่งธรรมชาติของโอเมก้า-3 สิ่งมหัศจรรย์...เพื่อหัวใจ& สมองของคุณ

กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ถือว่าเป็นสารอาหารที่สำคัญยิ่งต่อร่างกายโดยเฉพาะกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 ซึ่งส่วนใหญ่กรดไขมันชนิดนี้พบได้ในไขมันชนิดนี้พบได้ในไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันปลา ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งจากธรรมชาติที่พบมากและมีคุณภาพดี ปัจจุบันความสนใจทางการแพทย์เกี่ยวกับกรดไขมันโอเมก้า-3 จากนั้นน้ำมันปลาเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆโดยเริ่มจากข้อมูลที่ว่า ชาวเอสกิโมมีเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันต่ำ เมื่อศึกษาถึงภาวะโภชนาการ จึงพบว่าอาหารที่ชาวเอสกิโมรับประทานในชีงิตประจำวัน คือ ปลาและแมวน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งที่มีโอเมก้า-3 ปริมาณสูง ปัจจุบันจึงมีการยืนยันทางการแพทย์ถึงประโยชน์ที่สำคัญของกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่อร่างกายในการลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น

1. โรคหัวใจและสมองขาดเลือด

2. ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ลดความดันโลหิต

3. ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์

4. ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความเสื่อมของสมอง โรคซึมเศร้า และบำรุงสายตา

5. บรรเทาอาการขิงโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สะเก็ดเงิน โรคเรื้อนกวาง

6. ป้องกันหรือบรรเทาโรคหอบหืด

7. ปวดไมเกรน

8. เบาหวาน

 

น้ำมันปลาเป็นสารอาหารประเภทไขมัน ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันในกลุ่ม Omega-3 Polyunsaturated Fatty Acid ซึ่งมีกรดไขมันที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ

1. EPA (Eicosapentaenoic Acid) กรดไขมันชนิดนี้ มีส่วนช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือดป้องการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุในการเกิดโรคหัวใจและสมองอุดตัน

2. DHA (Docosahexaenoic Acid) กรดไขมัน DHA มีบทบาที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและสายตา ช่วยเสริมสร้างและป้องกันความเสื่อมของสมอง การเรียนรู้ และความจำ รวมถึงระบบสายตา ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

 

น้ำมันปลา...สำคัญต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

1.ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด

2.ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน

3.ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด

4.ลดความดันโลหิต

 

น้ำมันปลา...เพิ่มคุณภาพชีวิต ลดอาการข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์

ผลการศึกษาจาก Harvard Medical School ได้ทำการรวบรวมผมการศึกษาจาก 10 การศึกษา โดยทำการศึกษากับผู้ป่วย 250 คน รับประทานน้ำมันปลาวันละ 2.6 กรัม ในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นลดปริมาณลงเหลือวันละ 1.2 กรัม พบว่าหลังจากรับประทานน้ำมันปลา 75 วัน ผู้ป่วยประมาณ 59% สามารถเลิกรับประทานยาแก้ปวดต่างๆ ผู้ป่วยประมาณ 60% พบว่าอาการปวดหลังและปวดคอลดลง และผู้ป่วยกว่า 88% รู้สึกพึงพอใจกับผลที่ได้รับและยืนยันที่จะรับน้ำมันปลาต่อ

ดังนั้นการรับประทานน้ำมันปลาจึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเสื่อม ข้ออักเสบเรื้อรัง เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดแทนที่การรับประทานยาแก้ปวด NSAIDs ซึ่งจะมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร ตับ และไตค่อนข้างมาก

 

น้ำมันปลา...สำคัญต่อระบบสมอง

1.ลดเซลล์สมองเสื่อม ป้องกันโรคสมองเสื่อม จากการศึกษาพบว่า 40% ของกรดไขมันในสมองและ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา ทำให้กรดไขมัน DHA ในน้ำมันปลามีบทบาทที่สำคัญต่อสมองผลวิจัยทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัย UCLA ของอเมริกา พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาช่วยป้องกันสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ได้ เนื่องจากการศึกษาเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในคนสูงอายุกว่า 1,000 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าระดับ DHA ที่ลดต่ำลงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม

2.ลดภาวะซึมเศร้า จากการวิจัยพบว่าผู้ที่บริโภคปลาอย่างต่อเนื่อง มีอัตราเป็นโรคซึมเศร้าต่ำ เพราะสมดุล ของกรดไขมันในร่างกายมีผลต่อความรุนแรงในการเกิดโรคซึมเศร้า คนที่มีระดับของกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำ และโอเมก้า-6 สูง จะมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่าปกติ ซึ่งการรักษาคนไข้ซึมเศร้าในโรงพยาบาลพบว่า DHA ให้ผลในการรักษาอย่างมีนับสำคัญ

 

น้ำมันปลา...หลากหลายประโยชน์ต่อสุขภาพ

1.เบาหวาน ที่พบบ่อยคือ เบาหวานชนิดที่สงที่มักพบในผู้ใหญ่ที่อ้วน ซึ่งนักวิจัยชาวเนเธอร์แลนด์ค้นพบว่า กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน

2.ปวดไมเกรน กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารพรอสตาแกลนดิน ดังนั้นการรับประทานน้ำมันปลาอย่างต่อเนื่องจากช่วยบรรเทาอาการหอบหืดได้

 

น้ำมันปลาที่ดีต้องปลอดสารพิษ คือ น้ำมันปลาคุณภาพยา

ปัจจัยที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการเลือกผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา คือ คุณภาพและความปลอดภัย แต่กลับพบว่า น้ำมันปลาคุณภาพต่ำส่วนใหญ่ที่ผลิตภายใต้มาตรฐานอาหารทั่วไป มักพบสารปนเปื้อนจำพวกตะกั่ว ปรอท สารหนู และย่าฆ่าแมลง เจือปนมาจากขั้นตอนการผลิตเนื่องจากความเข้มงวดของการควบคุมคุณภาพของน้ำมันปลาในประเทศไทยและบางประเทศทั่วโลก อาจยังไม่เข้มงวดมากนัก เพราะผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาจัดอยู่ในสินค้าประเภทกลุ่มอาหารทั่วไป ดังนั้นผู้ผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาใต้มาตรฐานระดับสากล ที่มีการควบคุมการผลิตและคัดสรรบุคลากรทางการแพทย์เพื่อช่วยคัดกรองผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค

และเนื่องจากน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาต่างสายพันธุ์ จะให้ปริมาณของ EPA และ DHA ที่ต่างกัน ควรเลือกน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกในเขตหนาวจากไอซ์แลนด์ ซึ่งมันใจได้ว่าปริมาณโอเมก้า-3 สูง ซึ่งสะดวกในการรับประทานมากขึ้นแต่ผู้บริโภคก็อาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ