[ใหม่] ขาย จำหน่าย ปุ๋ยชีวภาพ คุณภาพสูง จาก สหรัฐอเมริกา ราคาคนไทย ช่วยให้พีช เร่งการเจริญเติบโต ให้ผลผลิตสูง เร่งดอกขั้วเหนียว

713 สัปดาห์ ที่แล้ว - กรุงเทพมหานคร - คนดู 654
รายละเอียด

ไฮโกร S,L ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ ปลอดสารพิษ
ไฮโกร เอส ช่วงระยะเวลาการใช้
*** ระยะการเจริญเติบโต พืชปลูกใหม่
1. ช่วงเพาะเมล็ด งอกเร็ว งอกเสมอ หน่ออ้วน
2. ช่วงปักชำ ออกรากมาก แตกยอดเร็ว
3. ช่วงย้ายกล้า ตั้งตัวเร็ว โตเร็ว ต้นสมบูรณ์
ไฮโกร แอล ระยะการเริ่มติดดอก ออกผล
1. ช่วงสะสมอาหาร ใบหนา ใบเขียวเข้ม
2. ช่วงติดดอก เปิดตาดอก กระทุ้งดอก
3. ช่วงติดผล ขยายลูก ติดดก ขั้วเหนียว

ไฮโกร- เอส-แอล
คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์
: เป็นสารอินทรีย์ชนิดเข้ม ประเภทสารอาหารพืช สกัดได้จากแหล่งธรรมชาติ ตาม กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น สกัดจากส่วนต่างๆของต้นพืช
: วัตถุดิบในการผลิต สั่งนำเข้าจากต่างประเทศ ( สหรัฐอเมริกา )
: เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้ผ่านการทดสอบและยอมรับจากทั่วโลกแล้ว ว่าสามารถนำมาใช้ได้ผลดีกับพืชทุกชนิด
: ปลอดภัย ไม่มีสารพิษตกค้างในผลผลิต ไม่เป็นอันตรายต่อส่ิงแวดล้อมและเกษตรกรผู้ใช้

คุณสมบัติ ไฮโกร S,L

: ไม่ใช่สารชีวภาพประเภทจุรินทรีย์หมัก หรือสกัดได้จากส่วนของกระดองปูหรือเปลือกกุ้งแต่อย่างใด
: เป็นเนื้อสารเข้มข้นมีสารอาหารพืชต่างๆครบถ้วนตามที่พืชต้องการรวมอยู่เป็นเนื้อสารเดียวกัน
: ช่วยลดต้นทุนการใช้สารอื่นๆมาใช้ผสมร่วมเกินความจำเป็น
: ดูดซึมได้รวดเร็ว พืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที
: สามารถผสมฉีดพ่นร่วมกับสารป้องกันกำจัดแมลงและสารกำจัดโรคได้ทุกประเภทไม่เสื่อมฤทธิ์
: ไม่จับตัวตกตระกอนแข็งและไม่จับตัวเป็นก้อนเป็นวุ้นเมื่อผสมร่วมกับสารอื่นๆ
: มีคุณประโยชน์ข้อดีกับต้นพืชมากกว่าเกิดโทษ
: ใช้ได้กับทุกช่วงระยะการเจริญเติบโตของต้นพืช

ประโยชน์ ไฮโกร S,L

: ใช้เพื่อพื้นสภาพต้นให้สมบูรณ์ พืชไม่โทรมง่าย เช่น หลังจากมีเพลี๊บ , หนอน หรือ โรคระบาดเข้าทำลาย
: ใช้เพื่อทดแทนสารอาหาร ขณะที่พืชวิกฤติหาได้ไม่เพียงพอจากธรรมชาติ
: ใช้เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ ให้กับทุกส่วนของต้นพืช เช่น ส่วนราก,ยอด,ดอก และผล
: ใช้เพื่อให้ต้นพืชปรับสภาพ ทนทานและต้านทานต่อสภาพอากาศร้อนหรือหนาว
: ช่วยสร้างผนังเซลล์พืชให้แข็งแรง สามารถช่วยต้านทานต่อโรคและแมลง

แนะนำตามช่วงระยะการเจริญเติบโตทั่วไป

: ใช้เพื่อเสริมสร้างระบบราก ช่วยสร้างรากฝอยให้ดูดอาหารได้ดีขึ้น
: ใช้เพื่อช่วยเร่งการงอกของเมล็ด
: ใช้เพื่อช่วยสะสมอาหาร เพื่อเตรียมการออกดอก
: ใช้เพื่อช่วยเร่งการเปิดตาดอกและช่วยผสมเกสร
: ใช้เพื่อเร่งและบำรุงผล ช่วงเริ่มติดผลอ่อน ให้ติดดก ลดผลร่วง
: ใช้เพื่อเร่งคุณภาพของผลผลิต ขยายผลใหญ่ สร้างแป้ง สร้างเนื้อ สีเข้ม รสชาติดี และช่วยเพิ่มน้ำหนัก
: ใช้เพื่อเป็นสารตั้งต้นทุกครั้ง เมื่อมีการฉีดพ่นสารเคมีเกษตรระยะต่างๆ

อัตราการใช้

: ขนาดบรรจุ 1000 ซีซี ต่อ 1 ขวด
: ขนาดถังพ่นยา 20 ลิตร ตวงใช้ 20 - 30 ซีซี
: ขนาดถังพ่นยา 200 ลิตร ตวงใช้ 200 - 300 ซีซี ( หรือ 1000 ซีซี ผสมน้ำได้ 1000 ลิตร )
: สามารถใช้ผสมร่วมกับสารป้องกันกำจัดโรคและแมลงได้ทุกชนิด

ชมภาพตัวอย่าง ผู้ที่ใช้จริง ได้ที่

http://hygrol.gagto.com

 หรือ โทร 086 3702343

ปุ๋ยชีวภาพ  คือ   ปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักด้วยจุลินทรีย์ที่กำหนด  เป็นจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ และปุ๋ยที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพต่อพืช และพืชสามารถนำไปใช้ได้เร็ว  คือ  ปุ๋ยชีวภาพ  และเนื่องจากผลิตจากอินทรียวัตถุ เพื่อความเข้าใจง่ายของเกษตรกร จึงอาจเรียกรวมว่า ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ  จุดเด่นของปุ๋ยชีวภาพมีอย่างไรบ้าง

1. ปรับปรุงโครงสร้างของดิน    ไม่ว่าจะเป็นดินชนิดใด ผ่านการใช้งานมาอย่างไร ดินเสีย  ดินเสื่อม   ปุ๋ยชีวภาพทั้งแห้ง และน้ำ  สามารถปรับโครงสร้างให้ดินมีชีวิต  เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชได้เป็นอย่างดี

2. ส่งเสริมการแตกรากใหม่    รากของพืชจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในกรณีที่ดินแห้ง  แข็ง  แต่เมื่อโครงสร้างดินโปร่ง ร่วนซุย  รากพืช ที่เรียกว่า  รากฝอย ซึ่งเป็นส่วนดูดซึมอาหาร ก็สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แตกรากมาก หากินได้ง่าย ทำให้พืชเจริญงอกงาม

3. มีธาตุอาหารครบถ้วน   ธาตุอาหารทางดิน 13 ชนิด  ตามหลักวิชาการ    แต่ที่หลักวิชาการอาจจะยังไม่สามารถได้ข้อสรุป  พืชจะได้จากปุ๋ยที่ผลิตจากอินทรียวัตถุอย่างครบถ้วนเพราะเป็นปุ๋ยที่เลียนธรรมชาติดั้งเดิม  ที่ต้นไม้ป่าเขาเจริญงอกงามนั่นเอง

4. ป้องกันโรค    ปุ๋ยชีวภาพที่ผลิตอย่างมีมาตรฐาน  จะต้องใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพเป็นตัวย่อยสลาย   พวกนี้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเชื้อราศัตรูพืช  เมื่อใส่ต้นไม้มากๆก็จะมีจำนวนมากกว่าจุลินทรีย์เชื้อราในดิน (ซึ่งเป็นบ่อเกิดโรคเชื้อราตามราก ลำต้น) ลงไปทำลาย  กัดกิน  จนเชื้อราไม่สามารถทำลายต้นไม้ได้อีก

5. ต้นไม้แข็งแรง    เนื่องจากได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ทำให้ต้นไม้แข็งแรง ต้านทานโรคสูง  ให้ผลผลิตมาก  และให้ผลผลิตนาน

6. ผลผลิตมีคุณภาพ     เนื่องจากได้ธาตุอาหารครบถ้วน  ต้นไม้สามารถนำไปปรับปรุงผลผลิตให้มีคุณภาพตามความเป็นจริง  ไม่ว่าจะเป็น  สีสัน  รสชาติ  ความหอม ฯลฯ

ปุ๋ยเคมี คือ ปุ๋ยที่มีต้นกำเนิดจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรืออนินทรีย์สาร เมื่อเกษตรกรปลูกพืช และใส่ปุ๋ยเคมีลงไป พืชจะดูดสารเหล่านี้ เข้าไปใช้ เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือ ก็จะเป็นสารพิษ ตกค้างในดินและน้ำ กลายเป็นมลภาวะ ต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ในที่สุด การใช้ปุ๋ยเคมี ติดต่อกัน เป็นเวลานาน จะทำให้โครงสร้าง ของดินเสียไป ดินจะกลายเป็นดินด้าน ดินดาน ดินตาย
ดินไม่มีชีวิตชีวา (ดินป่วย) เมื่อปลูกพืชผักในดินเหล่านี้ พืชผักจะไม่ค่อยแข็งแรง แมลงและศัตรูของพืช ก็จะเข้ามา ทำลาย พืชผักทันที ดินป่วย ปลูกพืชผักก็จะป่วย คนกินผักที่ป่วย ก็จะกลายเป็นคนป่วย สุขภาพไม่แข็งแรง สุดท้ายก็ไปหาหมอ เพื่อเยียวยารักษา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหา ที่ปลายเหตุ ดังนั้น เราต้องมาเป็นหมอให้ตัวเอง โดยการเลิก ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หันกลับมาใช้ฟาง และถั่ว เป็นพืชบำรุงดิน สุขภาพกาย และจิตของเรา จะดีถ้วนหน้า เงินทองเป็นของมายา พืชผักนานาเป็นของจริง
ทำอย่างไรจึงจะเขียวตลอดปี
          ในหนึ่งปีถ้าหากคิดเป็นเดือน มีอยู่ ๑๒ เดือน ถ้าคิดเป็นวันมี ๓๖๕ หรือ ๓๖๖ วัน แบ่งออกเป็น ๓ ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว พืชผักแต่ละชนิด จะเติบโตแตกต่างกันไป องค์ประกอบสำคัญ ที่จะทำให้พืชผัก เจริญเติบโต แข็งแรงนั้นคือ คน ดิน น้ำ อากาศ ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ ถ้าหากจะจัดลำดับ ความสำคัญแล้ว คนสำคัญที่สุด ดินจะดี น้ำจะใสสะอาด อากาศจะปลอดโปร่ง ขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากคนไม่รัก ไม่ศรัทธาในอาชีพนี้แล้ว ก็ยากจะประสบ ผลสำเร็จได้

ถามว่า อะไรเป็นตัวแปรที่จะทำให้พืชผักเจริญเติบโตแข็งแรง หรือไม่เจริญเติบโต
คำตอบ อากาศเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด พืชผักบางชนิดชอบอากาศหนาว บางชนิดชอบอากาศร้อน บางชนิด ชอบอากาศอบอุ่น ดังนั้น ถ้าหากเราศึกษา พฤติกรรมการเจริญเติบโต ของพืชแต่ละชนิด ให้ละเอียดแล้ว การปลูกผัก ไร้สารพิษ ที่พวกเรากำลังท้อแท้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ยาก เกินไปนัก
           อีกประการหนึ่ง สิ่งที่เราน่าจะศึกษาเรียนรู้ และปรับตัวเอง ให้เข้ากับสิ่งเหล่านี้คือ ศัตรูของพืช และแมลงต่างๆ ที่จริงสัตว์เหล่านี้ ไม่ใช่เป็นสัตว์เลวร้าย ที่จะต้องปราบ หรือกำจัดมัน ด้วยสารเคมี และยาฆ่าแมลง ที่รุนแรงเสมอไป แมลงเป็นสัตว์ที่ ไม่มีกระดูกสันหลัง สมองนิดเดียว มีมากในฤดูฝน ฤดูร้อนจะวางไข่เป็นตัวหนอน ดังนั้น แมลง ในฤดูร้อน จึงมีน้อย ถ้าเราหมั่นศึกษา สิ่งเหล่านี้ และ ปรับวิถีชีวิตของเรา ให้เข้ากับธรรมชาติแล้ว คำว่า ไร้สารพิษ และ เขียวตลอดทั้งปี ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ไกลเกินคิด เกินหวังจนเกินไป คุณลิขิต : KM Team บางปะหัน


      ในอดีตเมื่อทำการเพาะปลูกเพียงรดน้ำพรวนดินก็ได้ผลผลิตแล้ว เพราะธาตุอาหารต่างๆในดินยังคงมีอยู่มาก ต่อมาเมื่อหน่วยงานต่างๆ ผลักดันให้ ภาคการเกษตรที่เคยผลิตเพื่อเลี้ยงชีพ เปลี่ยนเป็นรูปแบบผลิตเพื่อการค้า ซึ่งหมายความว่า ต้องทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงๆ เพื่อสร้างผลกำไรจากการขาย การใส่ปุ๋ย เคมี มีข้อดีในแง่ที่มีธาตุอาหารหลัก(N-P-K)มาก จึงทำให้ในช่วงแรกพืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ได้ผลผลิตมาก แต่ปุ๋ยเคมี ไม่มีธาตุอาหารรองและเสริม เมื่อธาตุรองและเสริมในดินถูกใช้หมด ผลผลิตที่ได้ก็ลดน้อยลง เกษตรกรไม่รู้ก็ยิ่งใส่ปุ๋ยเคมีมากขึ้นอีก ต้นทุนก็จะยิ่งสูงขึ้น กำไรจึงลดน้อยลง

ปุ๋ยเคมี คือ
 ปุ๋ยเคมี (Chemical fertilizers) หมายถึงปุ๋ยที่ได้จากสารอนินทรีย์ หรืออินทรีย์สังเคราะห์ ซึ่ง มีธาตุอาหารหลัก NPK โดยมีขบวนการตั้งต้นมาจากก๊าซแอมโมเนีย (NH3) ซึ่งได้มาจากการสังเคราะห์น้ำมัน และเมื่อนำมารวมกับ กรด โดยผ่านขบวนการทางเคมี จะได้ธาตุ N P K ออกมาเป็นแม่ปุ๋ยสูตรต่างๆ แล้วแต่ว่าจะใช้ กรด ชนิดใดในการทำปฏิกิริยา (ดังนั้นหากใช้ปุ๋ยเคมีไม่ถูกวิธีจะทำให้ดินเป็นกรด)
 ประเทศไทยยังไม่มีโรงงานผลิตแม่ปุ๋ย เพราะต้นทุนการผลิตสูง จึงนำเข้าแม่ปุ๋ยมาจากต่างประเทศ เช่น ยูเรีย แอมโมเนียเหลว หินฟอสเฟตและโพแทสเซียมคลอไรด์ เป็นต้น เมื่อโรงงานปุ๋ยในประเทศได้แม่ปุ๋ยมาแล้ว จึงผลิตปุ๋ยโดยนำแม่ปุ๋ยมาผสมปั้นเป็นเม็ด โดยมีแม่ปุ๋ยตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไปตามสูตรที่ต้องการเช่น ปุ๋ยสูตร15-15-15หมายความว่า จะนำแม่ปุ๋ยมาคำนวณให้ในเนื้อปุ๋ย 100กิโลกรัมมี ไนโตรเจน(N)อยู่15กิโลกรัม ฟอสฟอรัส(P)อยู่15กิโลกรัม และมีโปแตสเซียม(K)อยู่15กิโลกรัม รวมเป็น45กิโลกรัม และอีก55กิโลกรัมที่เหลือจะเป็นสารเติมแต่ง(ฟิลเลอร์) เพื่อให้ได้ปริมาณครบจำนวน100กิโลกรัม ซึ่งฟิลเลอร์ที่เติมเข้าไปก็คือ ดินขาว(Clay) นั้นเอง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าปุ๋ยเคมีที่เกษตรกรซื้อ จะเป็นดินขาวอย่างน้อย 50เปอร์เซ็นต์(%) ดินขาวจะมีส่วนช่วยในการปั้นเม็ดให้กลมสวย ทำให้เม็ดปุ๋ยมีความแข็งไม่แตกร่วนในขณะเก็บไว้นานๆ รวมถึงช่วยเหนี่ยวรั้งไนโตรเจน(N) ซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักตัวหนึ่งในเนื้อปุ๋ย ไม่ให้สลายตัวไปกับอากาศเร็วเกินไป แต่ดินขาวเองไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อพืชแต่กลับเป็นข้อเสีย เพราะดินขาวจะแทรกตัวไปอัดแน่นอยู่ในช่องว่างของดิน และยึดเกาะเม็ดดินให้จับตัวกันแน่นขึ้น พร้อมกับขับไล่อากาศที่มีอยู่ในดินออกไป ดังนั้นดินที่มีการใช้ปุ๋ยเคมีติดต่อกันมาโดยตลอด จะมีสภาพเป็นกรดและแข็งกระด้าง

จริงหรือไม่ ที่ปุ๋ยเคมีที่มีสูตรที่สูงๆยิ่งดี ปุ๋ยสูตรต่ำสารอาหารจะไม่เพียงพอ
 ปุ๋ยที่มีสูตรที่สูงๆ หากพืชสามารถกินได้ทันที กินได้หมด ก็จะดีมีประโยชน์ แต่ความจริงแล้ว พืชจะไม่สามารถกินปุ๋ย N P K ได้ทันที ต้องเปลี่ยนรูปไปเป็นสารอาหารที่พืชสามารถดูดกินได้ก่อน ซึ่งหน้าที่เปลี่ยนสารอาหารนี้คือหน้าที่ของจุลินทรีย์ชนิดดีในดิน แต่การใช้ปุ๋ยเคมีมากๆหรือใช้มานาน จะทำให้จำนวนจุลินทรีย์ชนิดดีที่คอยทำหน้าที่เปลี่ยนสารอาหารเกิดการชะงัก ทำให้การเปลี่ยนสารอาหารลดน้อยลง จนกระทั่งไม่สามารถ เปลี่ยนสารอาหารให้พืชกินได้ทัน พืชจึงเจริญเติบโตช้าและให้ผลผลิตน้อย เกษตรกรจึงคิดว่าสารอาหารในดินไม่เพียงพอจึงเติมปุ๋ยเคมีลงไปอีก หรือเปลี่ยนไปใช้ปุ๋ยที่มีสูตรสูงขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ผิดวิธี สิ้นเปลืองเงินไปโดยไร้ประโยชน์ และยิ่งส่งผลเสียต่อจุลินทรีย์และดินมากยิ่งขึ้น วิธีแก้ไขที่ง่ายคือการใช้ปุ๋ยควายธนู แทนการใช้ปุ๋ยเคมีทั่วไป เพราะในปุ๋ยควายธนู นอกจากจะมีธาตุอาหารครบถ้วนแล้ว ยังมีการเติมอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดี เพื่อให้จุลินทรีย์ชนิดดีในดินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และช่วยปรุงอาหารให้แก่พืช พืชจึงกินอาหารได้มาก เจริญเติบโตและเกิดผลผลิตเพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยสูตรสูงๆเป็นการลดต้นทุน และเกิดการเกษตรอย่างยั่งยืน
การจะเลือกใช้ปุ๋ยประเภทใด ก็ขอให้พิจารณา ตัดสินใจเลือกใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด