[ใหม่] ตะกรุดมหาโสฬสมงคล อ.แปลก ผิวหิ้ง

425 สัปดาห์ ที่แล้ว - สมุทรปราการ - คนดู 337
รายละเอียด

Tel 0909857494

ID Line : more-2212

ขนาด 3.5 นิ้ว โต 8 มม รักดำอมแดง  ทองแดง ตัดสอบ นอกใน  ม้วน 5 รอบ ขึ้น 4 เสา ลายมาตรฐาน

วิธีการสร้างตะกรุด อ.แปลก สะพานสูง

  การสร้างตะกรุดของท่านอาจารย์แปลก ท่านจะทุ่มเทในการสร้างเป็นอย่างมาก ประณีตในการเสก ขนาดทุ่มเทระดมสรรพกำลังที่มีอยู่เพื่อให้ได้ตะกรุดที่มีอานุภาพขั้นสูง ถึงขึ้นที่ต้องคาบแผ่นทองแดงและเหล็กจาร ปีนขึ้นไปบนต้นตาลหน้าวัดที่สูงเป็นสิบๆเมตร เมื่อถึงปลายยอดก็ใช้ขาหนีบต้นตาลไว้แล้วห้อยหัวลงมาเพื่อทำการจารตะกรุด แล้วเสกจนเสร็จ ถึงได้ลงมาจากต้นตาล ซึ่งท่านห้อยหัวอยู่บนนั้นนานเป็นหลายชั่วโมง พอได้ลงมาศิษย์ก็ถามว่าทำไมท่านจึงต้องปีนต้นตาลเช่นนั้น ท่านว่า มันแรง มันร้อน มันร้อนมากๆ ต้องไปให้ลมแรงๆโกรกใส่ ของๆฉันต้องแรง!!!       ขนาดหลวงปู่กลิ่นซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดสะพานสูงองค์ต่อมายังยกย่องท่าน อาจารย์แปลกให้ลูกศิษย์ลูกหาให้ฟังเสมอ ว่าท่านสร้างวัตถุงมงคลเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังได้เหนียวจริงๆ ดังเช่นหลวงปู่กลิ่นมักจะกล่าวกับลูกศิษย์เสมอว่า "ฉันมีแต่เมตตามหานิยม ถ้าอยากได้ของเหนียว ๆ ให้ไปที่กุฏิท่านขาว ของแบบนั้นฉันไม่มี ท่านขาวเขาเก่งทางด้านนี้" (ท่านขาวองค์นี้ก็หมายถึงอาจารย์แปลก ซึ่งนุ่งขาวห่มขาวอยู่ที่วัดสะพานสูงครับ) "

เล่าเรื่อง..อาจารย์ เเปลกผู้ร้อนวิชา "อ.แปลก เรือลอย"
"อาจารย์แปลก ร้อยบาง” เดิมทีท่านบวชที่ไหนไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่ต่อมาท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดท่าเกวียน ต.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมาอยู่วัดนี้เป็นเพียงพระลูกวัดธรรมดา ท่านเป็นพระที่มีวิชาพอสมควร ถือได้ว่าเป็นผู้แก่กล้าอาคมท่านหนึ่ง เพียงแต่ว่าท่านมิได้เป็นผู้มีแหล่งกำเนิดในบริเวณนั้น แต่ท่านก็มีลูกศิษย์จำนวนมาก
ในขณะที่ท่านได้อยู่วัด ท่าเกวียนนี้ ได้สร้างอนุสรณ์ที่ยังคงอยู่คู่วัดท่าเกวียนมาจนถึงทุกวันนี้อย่างหนึ่งก็ คือ รอยพระพุทธบาทจำลอง นอกจากนี้แล้วยังได้นำโลหะที่เหลือจากการหล่อท่านนำมาหล่อพระศรีอริยเมตไตรยขึ้นอีก ๑ องค์ เป็นพระบูชาองค์ไม่ใหญ่มากนัก สูงประมาณ ๑ ศอก พระองค์ดังกล่าวเป็นพระบูชาที่ท่านจะนำติดตัวไว้ตลอดเวลา
หลังจากท่านหล่อพระพุทธบาทจำลองแล้วเสร็จ ท่านได้จัดให้มีการปิดทองประจำปีขึ้น ปีละ ๒ ครั้ง วิธีการของท่านแปลกมาก คือ ท่านจะนำไม้ไผ่ที่มีอยู่ในบริเวณวัดมาผ่าแล้วสานเป็นฝาแฝกทำทางเป็นแบบเขา วงกตกั้นทาง

เดินสลับไปสลับมาเป็น ค่ายกล โดยพระพุทธบาทจำลองตั้งไว้ตรงกลาง ผู้ที่จะเข้าไปปิดทองต้องหาทางเข้าไปถูกบ้างผิดบ้าง เหตุที่ทำเช่นนี้ เข้าใจว่าน่าจะเป็นปริศนาธรรมของท่านอย่างหนึ่ง ความหมายน่าจะเป็นการสอนให้คนรู้ว่า การเข้าถึงพระธรรมนั้น ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย อยู่ที่สมาธิ สติ และปัญญา ก็จะถึงซึ่งพระธรรมนั่นเอง
ในเวลาต่อมา สมภารวัดมรณภาพลง ในขณะนั้นเห็นจะมีแต่อาจารย์แปลกองค์เดียวเท่านั้นที่มีอาวุโส วัยวุฒิ คุณวุฒิ วิชาอาคมก็แก่กล้า สามารถที่จะปกครองวัดได้อย่างแน่นอน เสียแต่ว่าท่านมิใช่ผู้ที่มีแหล่งกำเนิด ณ ที่นั้น จึงได้รับการต่อต้านจากผู้มี่อิทธิพลในพื้นที่นั้นไม่ให้ขึ้นปกครองวัด ด้วยเหตุดังกล่าวท่านจึงได้ย้ายไปจำวัดอยู่ที่ย่านคลองสอง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน โดยในสมัยนั้นมีสภาพทุรกันดาร เป็นวัดเล็กๆ มีพระจำพรรษาน้อยองค์
เหตุที่ท่านอาจารย์แปลกต้องสึกจากสงฆ์ เกิดจากสมภารในสมัยนั้นนำสิ่งของล้ำค่าของวัดไปขายนำเงินมาใช้ส่วนตัว อาจารย์แปลกท่านเห็นเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง จึงลุกขึ้นคัดค้าน เพราะท่านถือว่าของในวัดทุกชิ้นเป็นสมบัติของสงฆ์ มิใช่ขององค์ใดองค์หนึ่ง จนสร้างความไม่พอใจให้แก่สมภาร ถึงกับออกปากไล่ ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ออกไป
เมื่อท่านได้ยินคำหยามเช่นนั้น ท่านก็คิดว่า ถ้าอยู่ต่อไปก็คงจะทำอะไรไม่ได้ ท่านจึงตัดสินใจสึกออกมาสู้ทางโลก ผลปรากฏว่าสมภารวัดกระทำความผิดจริง จำต้องสึกออกไปรับโทษตามกฎเมือง
ท่านอาจารย์แปลกเองก็มิได้กลับมาบวชอีก คงใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่แต่ในเรือประทุนลำน้อย ลอยเรือไปตามแม่น้ำลำคลอง ไปอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ค่ำไหนนอนนั่น ส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณหน้าวัด ที่เรือท่านลอยผ่าน เรือของอาจารย์แปลกจะไม่มีพาย มีแต่ไม้ไผ่สำหรับไว้ใช้ปักเป็นหลักผูกเรือเท่านั้น ทำให้มีการเรียกชื่ออาจารย์อีกอย่างหนึ่งว่า "อ.แปลก เรือลอย"
ถ้าเคยได้ยินวัดสะพานสูงนนทบุรี ก็จะนึกถึง พระเดชพระคุณ หลวงปู่เอี่ยม(ปฐมนาม)แห่งวัดสะพานสูง เจ้าของวิชาตะกรุดโสฬสมงคล อันโด่งดัง และศิษย์ของท่าน ที่สืบทอดวิชาสายนี้ ทั้ง ปลวงปู่กลิ่น ถึงหลวงพ่อทองสุข แต่ถ้าไม่กล่าวถึงอาจารย์ แปลกก็คงไม่ได้ ท่านเป็นศิย์เอกของหลวงปู่เอี่ยม แม้จะสึกเป็นฆารวาสก็เข้มขลังไม่แพ้ใครครับ

ว่ากันตามคำบอกเล่าต่อๆกันมาได้ความคร่าวๆว่าอาจารย์เเปลก (หรือ เเปลก เรือลอย) ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูง เล่ากันว่าพื้นเพเดิมท่านก็เป็นคนเมืองนนท์โดยกำเนิด ในคราวที่อุปสมบทที่วัดสะพานสูงก็เป็นพระรุ่นพี่ของหลวงปู่กลิ่นซึ่งบวชใน ยุคราวคราวเดียวกัน แต่อาจารย์แปลกนั้นบวชมาก่อนเลยแก่พรรษากว่าหลวงปู่กลิ่น ท่านได้ศึกษาสรรพวิชาจากหลวงปู่เอี่ยมมาพร้อมๆกับหลวงปู่กลิ่น โดยเฉพาะวิชาการสร้างตะกรุดอันลือลั่นของสายวัดสะพานสูง ตะกรุดของท่านนั้นขมังมากนัก เน้นหนักไปทางคงกระพันและแคล้วคลาดเป็นหลัก ถึงขนาดนักเลงเมืองนนท์สมัยก่อนเชื่อกันถึงความหนียวของพุทธคุณตะกรุด อาจารย์แปลก ปืนและมีดดาบไม่เคยต้องหวั่นกลัว ถึงคราวที่จะต้องประลองกัน ถ้าได้อาราธนาตะกรุดของอาจารย์แปลก มีแต่จะวิ่งเข้าใส่ เพราะของท่านแรงจริงๆ

ด้วยความที่ท่านได้เคร่งศึกษาการสร้างตะกรุดให้ดีเลิศ จนทำให้ท่านถึงขั้นร้อนวิชา หลวงปู่เอี่ยมท่านจึงแนะนำให้ลาสิขาเพื่อไปครองเพศฆราวาสจะดีกว่า แต่อาจารย์ท่านก็ยังให้ถือศีลและข้อห้ามต่างๆอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ถึง ความขลังในการสร้างตะกรุดของอาจารย์แปลก หลังลาสิขา ชีวิตของท่านส่วนใหญ่จะอาศัยกินนอนอยู่บนเรือ เพราะถือหลักที่ว่าความแรงและความขลังสามารถบรรเทาอากัปกิริยา และปล่อยวางได้ถ้าได้อาศัยอยู่บนน้ำ ท่านจึงไม่มีที่อยู่เป็นหลักเเหล่ง เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ปล่อยให้เรือลอยไปโดยไม่ใช้ไม้พาย

บางครั้งก็จะมาจอดที่หน้าวัดสะพานสูง มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษา อยู่ดีๆเรืออาจารย์เเปลกก็มาจอดหน้าวัดสะพานสูง ทันทีที่อาจารย์เเปลกถึงวัด ก็เดินตรงเข้ามาที่กุฎิหลวงปู่กลิ่นทันที เเล้วตรงเข้ามากราบหลวงปู่กลิ่นอย่างนอบน้อม เเล้วเอ่ยถามหลวงปู่กลิ่นว่า ... อาจารย์ลากเรือผมมาที่วัดทำไมครับ หลวงปู่กลิ่นท่านยิ้มเเล้วตอบว่าน้ำปีนี้จะมีมาก อยากให้มาอยู่ที่วัดเสียด้วยกัน เเละเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งในปีนั้นเอง เกิดมีน้ำมากจริงๆ เหตุการณ์ครั้งนี้เเสดงให้เห็นว่าหลวงปู่กลิ่นท่านรับรู้ด้วยญาณก่อนเเล้ว เเละในปีนี้เองที่อาจารย์เเปลกลงตะกรุดโสฬสมงคลเเจกศิษย์ไว้มากที่สุด

การสร้างตะกรุดของอาจารย์แปลกนั้นเข้มขลังมาก พระยันต์ที่ประทับด้านในมักจะเป็นพระยันต์โสฬสมงคลของวัดสะพานสูง ส่วนจารนอกก็แล้วแต่ท่านจะลงหรือไม่ และมียันต์หลายๆแบบที่ใช้ในการประทับหน้า (ผมเองได้เคยพบยันต์เป็นรูปองค์พระในคราวที่มีโอกาสได้เลาะเชือกศึกษาตะกรุดอาจารย์แปลกครั้งหนึ่ง) เล่ากันว่าเวลาท่านจารและเสกตะกรุด คนที่มาขอตะกรุดท่านต้องไปนั่งห่างๆด้านหน้า พออาจารย์แปลกทำตะกรุดเสร็จก็จะโยนไปข้างหน้าที่ศิษย์มาขอ แล้วเอ่ยวาจาให้ศิษย์ก้มเก็บตะกรุดของท่านให้หน่อย เพราะมันกระโดดไป พอศิษย์เผลอก้มเก็บตะกรุดของท่าน

ในช่วงวินาทีที่มือของศิษย์ได้จับสัมผัสกับตะกรุดแล้ว ในเวลานั้นอาจารย์แปลกก็จะหยิบหลาวไม้ยาวที่มีปลายเป็นเหล็กแหลม คว้างเข้าใส่อย่างแรงและเร็วเพื่อหวังจะได้เข้ากลางหลัง แต่หลาวดังกล่าวก็จะกระดอนออกไปจากตัวศิษย์ทุกครั้งไป ตัวศิษย์เองก็ตกใจไม่น้อย แต่ก็ทำให้เชื่อและศรัทธาถึงอานุภาพตะกรุดของอาจารย์แปลก และจะหวงแหนเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ครอบครอง จะเก็บไว้ติดแนบกายไม่ห่างเลย นอกจากตะกรุดโสฬสที่ท่านมักจะสร้างเสมอๆแล้ว ยังมีตระกรุดอีกหลายแบบที่ท่านได้สร้าง ซึ่งล้วนแต่จะขลังและหายากยิ่ง เช่นตะกรุดคุ้มบ้าน ตะกรุดเมตตา (แต่ผมว่าก็ยังไม่พ้นเหนียวอยู่ดี) และที่หายากและเป็นที่หวงแหนกันยิ่งคือ ตะกรุดเป่าแล่น ใครได้ครอบครองก็จะใช้ติดตัวไม่เคยห่าง เรื่องนี้คนเก่าแก่ในพื้นที่จะรู้จักกันดี

ในสมัยคราวที่ท่านอาจารย์แปลกทำการสร้างตะกรุดนั้น ท่านเน้นย้ำเสมอว่าตะกรุดของท่านไม่ให้ซื้อขาย อยากได้ก็มาขอเอาเอง ยกเว้น พ่อให้ลูก อาจารย์ให้ศิษย์ หรือให้กันเองในเครือญาติ ผู้ใหญ่กับผู้น้อย ผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ถ้าจะต้องให้ผู้อื่นด้วยความเสน่หาแล้วมีผลตอบแทนกลับมาเป็นสินน้ำใจ ให้นำเอาสินน้ำใจหรือเงินดังกล่าว มาถวายหรือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา คำสอนดังกล่าวของท่านนั้นทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ถึงแม้ท่านอาจารย์จะเป็นฆราวาส แต่อาจารย์แปลกท่านก็เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรม นั่นเองที่ทำให้ท่านขลังมากนักแล

สำหรับชื่อของท่าน "แปลก" นั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อเดิมของท่านเองเลยหรือเปล่า หรือเป็นการเรียกฉายาตามพฤติกรรมของท่านที่บางครั้งแปลกผิดกับคนทั่วไปกระทำครั้นท่านสร้างตะกรุดให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านจะทุ่มเทในการสร้างเป็นอย่างมาก ปราณีตในการเสก ขนาดทุ่มเทสรรพกำลังที่มีอยู่เพื่อให้ได้ตะกรุดที่มีอานุภาพขั้นสูง ในบางครั้งถึงขึ้นที่ต้องคาบแผ่นทองแดงและเหล็กจาร ปีนขึ้นไปบนต้นตาลหน้าวัดที่สูงเป็นสิบๆเมตร เมื่อถึงปลายยอดก็ใช้ขาหนีบต้นตาลไว้แล้วห้อยหัวลงมาเพื่อทำการจารตะกรุด แล้วเสกจนเสร็จ ถึงได้ลงมาจากต้นตาล ซึ่งท่านห้อยหัวอยู่บนนั้นนานเป็นหลายชั่วโมง

พอได้ลงมาศิษย์ก็ถามว่าทำไมท่านจึงต้องปีนต้นตาลเช่นนั้น ท่านว่า "มันแรง มันร้อน มันร้อนมากๆ ต้องไปให้ลมแรงๆโกรกใส่" สำหรับตะกรุดพิเศษนี้ท่านจะให้ศิษย์นำทองแดงที่ม้วนเป็นตะกรุดดังกล่าว เข้าไปกราบหลวงปู่กลิ่นผู้ที่อาจารย์แปลกนับถืออย่างยิ่งท่านหนึ่ง เพื่อของผงพุทธคุณ ที่เรียกว่าผงโสฬสมงคลซึ่งเป็นผงชนิดเดียวกันกับที่หลวงปู่กลิ่นท่านใช้ สร้างพระปิดตา มาโรยที่ตะกรุดหลังจากถักเชือก แล้วนำไปคลุกหรือลงรักคลุมไว้เพื่อให้ผงวิเศษได้เกาะตัวติดกับตะกรุด แล้วนัดให้ศิษย์เข้ามารับตะกรุดอีกทีในวันหลัง ก่อนที่จะมอบให้กับศิษย์ท่านก็จะนำตะกรุดดังกล่าวไปปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเพิ่มความเข้มขลัง ในบางครั้งท่านก็จะเข้าไปกราบขอเมตตาจากหลวงปู่กลิ่นเพื่อช่วยเสกกำกับให้ อีกคราว

เล่าถึงเรื่องความแปลกของท่านอาจารย์แปลก เรื่องหนึ่งที่ผมยังจำได้ไม่เคยลืมจากการได้อ่านมาเพราะถือว่าเป็นเรื่อง เล่าที่แปลกจริงๆ คือเรื่องอาจารย์แปลกกับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ว่ากันว่าในคราวที่กรมหลวงชุมพรฯ ได้เข้ามาพำนักที่ตำหนักในกรุงเทพมหานคร ชื่อเสียงของกรมหลวงฯท่านนั้นโด่งดังมากโดยเฉพาะเรื่องความขมังเวทย์ของท่านที่ไม่เป็นรองใครเพราะถือว่าเป็นผู้มีอาจารย์ที่ดีเลิศคือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นอาจารย์ที่เรืองเวทย์และประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่กรมหลวงฯ วันหนึ่งชื่อเสียงความโด่งดังของกรมหลวงฯท่านนั้นแว่วไปถึงหูอาจารย์แปลก ซึ่งลอยเรืออยู่ในคลองพระอุดม อาจารย์แปลกจึงคิดอยากจะลองวิชากับกรมหลวงฯสักคราว ว่าชื่อเสียงที่เล่าลือกันนั้นจะเก่งแท้สักขนาดไหน โดยท่านได้เล่าให้ศิษย์ฟังถึงเรื่องที่ท่านจะทำว่า "จะเข้าไปเมืองหลวง จะไปขอข้าวลูกท่านหลานเธอกิน" หลังจากนั้นอาจารย์แปลกก็ไม่ได้อยู่ที่เรือที่ท่านอาศัย และได้จอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าน้ำวัดสะพานสูง

แล้วให้ศิษย์คอยเฝ้าเรือของท่านไว้ ท่านจะไม่อยู่สักพัก .... ในขณะเดียวกันที่วังของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ก็ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น เรื่องของเรื่องก็คือ ในห้องเครื่องต้น (ห้องจัดเตรียมอาหารในวัง) ได้มีคนลอบเข้ามาขโมยกินข้าวหัวหม้อหรือข้าวต้นหม้อ ซึ่งเป็นข้าวที่จะถวายสำรับแก่กรมหลวงฯ เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในทุกๆมื้ออาหารที่จะนำถวายสำรับแก่กรมหลวงฯ และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่หลายวัน แต่ได้มีการปกปิดเรื่องไว้ จนกระทั่งสุดท้ายวันหนึ่งความก็หลุดไปถึงกรมหลวงฯเข้า ท่านโกรธมากเป็นฟืนเป็นไฟ ว่าใครที่มาทำกับท่านแบบนี้ ถ้าจับได้ ท่านจะนำไปประหาร กรมหลวงฯจึงวางแผนตั้งเวทยฺค่ายกลเพื่อดักจับโจรขโมยกินข้าวท่านให้ได้ โดยที่ทุกครั้งที่ที่ดักจับ โจรดังกล่าวก็หลุดหนีไปได้ทุกทีด้วยมนต์กำบังกายขั้นสูง

จนกรมหลวงฯท่านแทบจะทนไม่ได้ที่ยังจับโจรดังกล่าวไม่สำเร็จ จึงได้ไปขอวิธีและข้อชี้แนะจากอาจารย์ของท่านคือหลวงปู่ศุข หลังจากที่ได้วิธีที่น่าจะใช้จับโจรได้แล้ว กรมหลวงฯท่านก็ดำเนินการวางแผนอย่างแยบยลและเคร่งครัด จนกระทั่งแผนดังกว่างนั้นได้สำเร็จผล คือจับโจรที่ขโมยกินข้าวต้นหม้อได้ จากนั้นก็นำไปคุมขังเพื่อให้ปริปากเอ่ยว่าเป็นใคร ทำไมถึงทำอย่างนั้น ขณะนั้นอาจารย์แปลกท่านไม่ได้เอ่ยปากใดๆแก่ทหารองค์รักษ์เลยแม้แต่น้อย ท่านเม้มปิดปากอยู่ตลอดเวลาบางครั้งก็พึมพำๆ โดยคำสั่งที่ทหารได้รับมอบมาจากกรมหลวงว่าจะต้องสอบปากคำให้จงได้

ทหารดังกล่าวจึงคิดที่จะใช้วิธีทรมานผู้ต้องขัง (อาจารย์แปลก) ด้วยวิธีต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่เป็นผล ทั้งมีด ทั้งปืน ไม่ได้กินเนื้อกินเลือดท่านเลยแม้แต่น้อยนิด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนตกถึงค่ำ โจรขโมยข้าวที่ถูกคุมขังได้หลุดหนีออกไป ก่อนหนี ก็ได้ลอบเข้าไปในห้องบรรทมของกรมหลวงฯ แล้วเข้าไปกระซิบข้างๆหูว่า "ท่านเป็นศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ ผู้เป็นหนึ่งในปากเกร็ด ที่ลอบเข้ามาก็เพื่อแค่จะทักทายท่านฯเพราะได้ข่าวถึงเรื่องความขมังเวทย์ของท่านฯ มิได้คิดจะทำเรื่องใหญ่โตอะไร ต่างฝ่ายต่างมีอาจารย์ดีทั้งคู่" ก่อนอันตธานหายไป... ตื่นเช้ามากรมหลวงฯท่านจึงเรียกมหาดเล็กคนที่มีพื้นเพในพื้นที่ปากเกร็ด มาสอบถามถึง อาจารย์ใหญ่แห่งปากเกร็ด จึงได้ความว่าผู้ที่ลอบเข้ามาขโมยกินข้าวท่านก็คืออาจารย์แปลก ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ปากเกร็ด นนทบุรีนั่นเอง